บทบาทของเทคโนโลยี 5G ไม่ได้เป็นเพียงรากฐานของระบบสื่อสารในยุคหน้าเหมือนที่เราเข้าใจกัน เพราะวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันกลายเป็นเครื่องสะท้อนความทันสมัยของประเทศชาติไปแล้ว ยิ่งเราประกาศตัวเป็น Digital Thailand ก็ยิ่งเป็นบ่วงรัดคอว่าจะยกระดับประเทศได้อย่างไรหากไม่มีการลงทุนพัฒนาระบบ 5G
ความเร่งรีบในการประมูลคลื่นความถี่ 5G จึงกำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าภาคเอกชนจะมีความพร้อมหรือไม่ ดังที่เราได้เห็นการส่งสัญญาณแรงๆ ของยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมเจ้าหนึ่งที่ผู้บริหารลาออกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คนทำธุรกิจก็ควรเข้าใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะคลอดตามเครือข่าย 5G มาติดๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องโทรศัพท์มือถือ แต่ยังมีอีกหลายธุรกิจที่จะเกิดและดับตามกระแสการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันนี้
2020 ปีแห่งการกว้านซื้อสตาร์ตอัพของบริษัทยักษ์ใหญ่
เพราะการเปลี่ยนแปลงเที่ยวนี้ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ที่ยักษ์ใหญ่ไม่เคยลองทำมาก่อน โดยเฉพาะธุรกิจที่เน้นอุปกรณ์ IoT หรือ Internet of Things ที่กำลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็น Internet of Behavior รวบรวมข้อมูลเชิงพฤติกรรมของลูกค้ามาได้อย่างมหาศาล ทำให้ธุรกิจมองเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้แบบเรียลไทม์
เมื่อทีมพัฒนาของบริษัทยักษ์ใหญ่เชื่องช้าจนอาจตกขบวน การซื้อกิจการสตาร์ตอัพที่ลงมือพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองไปแล้วจึงเป็นทางออกที่ดีกับทั้งสองฝ่าย โดยบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นก็ได้เทคโนโลยีมาใช้ต่อยอดได้เลย ในขณะที่สตาร์ตอัพหลายๆ รายก็จะได้มั่นใจว่าพัฒนาธุรกิจต่อไปได้ถึงฝั่งฝันแน่นอนเพราะมีเงินทุนให้เพียบพร้อม
AI ภาคสนาม
5G จะมาพร้อมกับเซนเซอร์จำนวนมหาศาล และอุปกรณ์ IoT ที่สร้างให้เกิดข้อมูล Big Data มากจนเราไม่รู้ว่าจะจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร AI จึงเป็นคำตอบสำคัญที่เชื่อได้ว่าจะได้เห็นการใช้งานอย่างเต็มพิกัดแน่นอน
แต่ไหนแต่ไรเราจะเห็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นของเล่นไฮเทคที่แต่ละบริษัทใช้โชว์ขีดความสามารถของทีมงานดิจิทัลของตัวเอง โดยเน้นการทำ “โครงการทดลอง” ที่ยังมองไม่เห็นว่าจะเอาไปหารายได้เข้าบริษัทได้อย่างไร
แต่วันนี้เราจะเห็นหลาย ๆ บริษัทโดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก นำ AI มาใช้จัดการด้านการขาย ตั้งแต่แนะนำสินค้า ยืนยันการสั่งซื้อ ไปจนถึงติดตามการจัดส่งโดยแทบไม่ต้องใช้พนักงานในการบริหารจัดการ สร้างยอดขายผ่านระบบ AI นี้ได้มากกว่าร้อยล้านบาทในปี 2019 ที่ผ่านมา
สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องแลปของฝ่ายไอทีเท่านั้น แต่เอามาใช้ลงสนามการทำธุรกิจจริง ใช้โต้ตอบกับผู้ใช้และใช้ปิดการขายทำรายได้ให้องค์กรเรียบร้อยแล้ว
Social Commerce เกิดแล้วและจะไม่มีวันดับ
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ AI เกิดขึ้นและกำลังจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของธุรกิจค้าปลีกก็เพราะรูปแบบการทำตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยนั้นใช้การขายผ่านโซเชียลมีเดียหรือ Social Commerce เป็นอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดราว 40% (ข้อมูลจาก Priceza e-Commerce Summit 2020)
นั่นหมายความว่าลูกค้าในระบบอีคอมเมิร์ซบ้านเรา ไม่ได้กดคลิ้กสั่งซื้อ ชำระเงิน และระบุที่อยู่ผ่านระบบอีคอมเมิร์ซแบบช็อปปี้ ลาซาดา เจดีเซ็นทรัล ฯลฯ ที่เป็นอีมาร์เก็ตเพลส แต่เน้นการติดต่อพูดคุยกับพ่อค้าแม่ขายผ่านเฟซบุ้คหรืออินสตาแกรมเป็นหลัก
ผลที่เกิดขึ้นคือการเรียนรู้ในระบบการขายแบบนี้จะใช้ตำราฝรั่งแบบที่เราเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยไม่ได้อีกต่อไป เพราะการค้าในรูปแบบนี้แพร่หลายในแถบบ้านเราโดยเฉพาะประเทศจีนเป็นหลัก กลยุทธ์ต่างๆ เช่นการใช้ KOL หรือการค้าขายแบบ New Retail ล้วนมาจากฝั่งจีนทั้งนั้น
ทั้งคนทำธุรกิจและมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องเปลี่ยนโฟกัสจากอเมริกาหรือยุโรป มาเน้นที่จีนมากขึ้นเพราะในเรื่อง Social Commerce นั้นจีนเป็นผู้นำโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้จริงๆ แนวโน้มที่เกิดขึ้นในประเทศจีนวันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ 5G เท่านั้นเพราะปริมาณการใช้ข้อมูลอย่างมหาศาลทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาระบบ 6G ที่เชื่อว่าจะเป็นยุคหน้าของการสื่อสารที่มีจีนเป็นเจ้าของเทคโนโลยีอย่างเต็มที่
โอกาสในการใช้สื่อทีวี วิทยุ ที่เปิดกว้างมาก
นึกถึงคนทำธุรกิจตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยคิดจะมีโอกาสได้โฆษณาในทีวีหรือสถานีวิทยุเพราะค่าโฆษณาอันแสนแพง แต่ในวันนี้ วันที่สื่อทีวีวิทยุและหนังสือพิมพ์กำลังเร่งปรับตัวหนีตายกันจ้าละหวั่น เป็นโอกาสให้เจ้าของธุรกิจจะโฆษณาสินค้าและบริการใดๆ ผ่านช่องทางเหล่านี้เป็นไปได้ง่ายมากขึ้น
รวมไปถึงการขายสินค้าผ่านทีวีและวิทยุก็เปิดโอกาสมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะแต่ละช่องล้วนหารายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจเพื่อลดผลกระทบจากสื่อออนไลน์ที่กระหน่ำซ้ำเติมสื่อดั้งเดิมจนแทบจะหาที่ยืนไม่ได้
กีฬาโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียวที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ก็จะเป็นครั้งแรกที่ถ่ายทอดด้วยสัญญาณความคมชัดระดับ 4K ผ่านเครือข่าย 5G เป็นการประกาศให้โลกรู้บทบาทสำคัญของเทคโนโลยี 5G ว่าจะเข้ามาแทนที่สถานีโทรทัศน์ในอนาคตแน่นอน
เปิดทีวีดูทุกวันนี้เราจึงเห็นเครื่องออกกำลังกาย เสื้อผ้า นาฬิกา ไปจนถึงทัวร์ท่องเที่ยวประเทศต่างๆ ทั่วโลกเสนอขายกันแบบไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน เพราะมันเป็นช่องทางการหารายได้ที่ง่ายที่สุด และเปิดโอกาสให้กับทุกคนเหมือนกัน
รายเล็กจงหัดเป็น “เหาฉลาม” กันได้แล้ว
เพราะการค้าแบบ Cross border เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น การค้าขายกับประเทศยักษ์ใหญ่คือจีน จำเป็นต้องอาศัยกลไกสำคัญคือเขตปลอดอากรใน EEC ซึ่งต้องอาศัยเงินลงทุนก้อนใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อยที่เคยสั่งของจากจีนมาขาย หากเจอบริษัทจีนเจ้าของสินค้ามาขายเองโดยตรงก็คงไปไม่รอด
ทางออกที่ดีที่สุดในวันนี้ก็คือการมองหา “ฉลาม” ซึ่งก็คือบริษัทรายใหญ่ของไทยที่ต่างก็ซุ่มพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับทำการค้าในระบบ Cross border กันอยู่ แล้วเกาะไปกับยักษ์ใหญ่เหล่านั้น ซึ่งก็คือทำตัวเป็นเหาฉลามด้วยการขอใช้โกดังและแพลตฟอร์มของเขาในการนำของจากจีนเข้ามา
ยักษ์ใหญ่ของไทยหลายๆ เจ้ามุ่งทำ Cross border ทั้งขาเข้าและขาออก คือไม่ได้ทำเพียงซื้อของจากจีนเข้ามาแต่มุ่งนำสินค้าไทยไปผ่านเขตปลอดอากรในมณฑลต่างๆ ของจีนเพื่อไปจำหน่ายต่อไปด้วย จึงเป็นโอกาสของเหาฉลามที่จะได้เกาะเขาไปบุกเบิกตลาดในจีนได้เช่นกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา