คาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยปีนี้ 32,000 คัน แม้ตลาดรวมโตแค่ 1.8%

ครึ่งแรกปี 2562 ตลาดรถยนต์มีการเติบโตจากปัจจัยบวก ทำให้ยอดขายเติบโตขึ้น 7.1% เทียบกับเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 523,770 คัน แต่ครึ่งหลังของปีกลับไม่สดใสเท่าไรนักจากสภาพเศรษฐกิจ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าตลาดมีโอกาสหดตัว 3% หรือมียอดขาย 536,000 ทำให้ตลาดรวมปีนี้ จะมียอดขายรวม 1,060,000 คัน เท่ากับว่าเติบโต 1.8% เทียบกับปี 2561 ที่มียอดขายรวม 1,041,739 คัน

MGZS EV
MGZS EV

แต่ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า กลับมีทิศทางการเติบโตที่ดีกว่า โดยครึ่งปีแรกมียอดจดทะเบียนแล้ว 13,611 คัน เติบโตขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักคือ เริ่มมีรถยนต์ให้เลือกหลายแบรนด์หลายรุ่น และราคาเข้าถึงได้มากขึ้น

รถยนต์ไฟฟ้าในที่นี้ หมายถึง รถยนต์แบบไฮบริด HEV (มีแบตเตอรี่และเติมน้ำมัน) รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด PHEV (มีแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟฟ้าได้และเติมน้ำมัน) และ รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ชาร์จไฟฟ้าล้วนๆ BEV

ที่ผ่านมาผู้บริโภคมีมีความกังวลเกี่ยวกับ ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ตั้งไว้สูงมาก ต้นทุนส่วนของแบตเตอรี่ก็สูงมากเช่นกันเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป ความไม่พร้อมของสถานีบริการชาร์จไฟฟ้า แต่ปัจจุบันทุกอย่างกำลังได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้แบ่งเรื่องต้นทุนเป็น 2 ส่วนสำคัญ ดังนี้

  • ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายระดับและเข้าถึงได้มากขึ้น
    • รถยนต์ไฟฟ้าที่มีการผลิตในประเทศและเป็นกลุ่มที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ต่ำกว่ารถยนต์จากค่ายที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ชัดในกลุ่มของรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดที่สามารถตั้งราคาได้ใกล้เคียงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปกติในรุ่นเทียบเคียงกันแม้จะมีต้นทุนทางเทคโนโลยีที่สูงกว่า ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้นในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวทำให้รถยนต์ไฮบริดก้าวสู่การเป็นรถยนต์รุ่นมาตรฐานแทนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
    • รถยนต์ไฟฟ้านำเข้ามาจากประเทศ ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่พบเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ไทยมีข้อตกลงการค้าเสรีและภาษีนำเข้ารถยนต์ได้ลดลงเหลือร้อยละ 0 แล้วก็จะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เช่น รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ทำให้สามารถตั้งราคาได้ถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศที่ยังต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งบางยี่ห้อสามารถตั้งราคาให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ส่งผลให้ได้รับการตอบรับต่อรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่จากผู้บริโภคดีเกินกว่าที่คาด
  • ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างถือครองรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับลดลง โดยที่หากถือครองรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ จะได้ประโยชน์มากในช่วง 8 ถึง 10 ปีแรกที่ถือครอง เนื่องจากเป็นช่วงที่อยู่ในระยะประกันของค่ายรถ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทมีต้นทุนในการถือครองที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปภายในมาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ต่ำกว่า ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่โดยเฉพาะก็มีค่าบำรุงรักษาเฉลี่อต่อปีที่ต่ำกว่ารถยนต์ประเภทอื่นมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเลยระยะประกันที่ 8 ถึง 10 ปีไปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเพิ่มเข้ามา ทำให้ต้นทุนการถือครองปรับเพิ่มขึ้นไปอีกระดับจากช่วงที่อยู่ในระยะประกัน แต่ประเด็นปัญหาค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ดังกล่าวไม่ได้สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคมากเท่าในอดีต เนื่องจากราคาแบตเตอรี่มีทิศทางที่ปรับลดลงมาตลอด และมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะปรับลดลงไปถึงกว่าร้อยละ 60 จากราคาปัจจุบันในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย ซึ่งมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปต่อต้นทุนการถือครองรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการปรับลดลงเช่นนี้ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีทิศทางเติบโตในอนาคต 
Nissan LEAF: ภาพจาก Shutterstock
Nissan LEAF: ภาพจาก Shutterstock

ต้นทุนการถือครองรถยนต์ประเภทต่างๆ กรณีใช้รถถึงปีที่ 10 และต้องมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ไฟฟ้าใหม่

รถยนต์เครื่องยนต์

สันดาปภายในปกติ

รถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า

แบบแบตเตอรี่

ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อปี 36,429 22,992 7,278
ค่าบำรุงรักษาเฉลี่ยต่อปี 4,340 4,745 1,700
ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่เฉลี่ยต่อปี  1,440 4,415 11,168
รวมค่าใช้จ่ายต่อปี 42,598 32,398 20,146
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10 ปี 422,085 321,516 201,456

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

หมายเหตุ สมมติให้เดินทางเฉลี่ยปีละ 20,000 กิโลเมตร และคำนวณจากราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ที่ 28.05 บาท/ลิตร (5 ส.ค. 62) กับค่าไฟฟ้าอัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (TOU) ช่วงเวลา Off Peak ที่ 2.6369 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 นี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยมีโอกาสที่จะทำตัวเลขได้อย่างน้อย 18,400 คัน หรือขยายตัวกว่าร้อยละ 75 จากปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งตลาดของไทยในปีนี้อาจขยับขึ้นไปอยู่ที่ 32,000 คัน โดยประมาณ หรือขยายตัวกว่าร้อยละ 61 จากปีก่อนที่ทำตัวเลขยอดขายได้ 19,880 คัน

คาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศของไทยแยกตามประเภทรถยนต์ปี 2562

ประเภทรถ 2561 2562f
ยอดขายรถยนต์ (คัน) %YoY ยอดขายรถยนต์ (คัน) %YoY
HEV

PHEV

BEV

19,880

19,803

77

66%

66%

185%

32,000

30,500

1,500

61%

54%

1,848%

รถยนต์ประเภทอื่น 1,021,859 19% 1,028,000 0.6%
รวม 1,041,739 20% 1,060,000 1.8%

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สถานีชาร์จไฟที่ต้องมีให้มาก และชาร์จให้เร็ว

สรุป ตลาดรวมมีโอกาสเติบโตได้น้อยจากผลกระทบต่างๆ ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ามีโอกาสขยายตัวสูง แต่ก็ยังมีข้อกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงหลังหมดอายุประกันในส่วนของอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งปัจจุบันยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมาก

ดังนั้น การที่ค่ายรถจะแสดงให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า ในระยะยาวเมื่อรถยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นรถยนต์รุ่นมาตรฐานแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน จะทำให้การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเกิด Economies of scale ประกอบกับบางส่วนอาจมีการย้ายฐานมาผลิตในไทยมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้ ซึ่งจะช่วยลดความกังวลของผู้บริโภคและทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้มากกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้าหากมีการช่วยเหลือผู้บริโภคในรูปแบบต่างๆ เช่น การลดราคาแบตเตอรี่ใหม่เมื่อเปลี่ยนคืน หรือได้ส่วนลดสำหรับซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่หากนำรถยนต์ไฟฟ้ามือสองกลับมาขายที่ค่ายเจ้าของรถ เป็นต้น ก็อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และทำให้เกิดการหมุนเวียนรถยนต์ที่เร็วขึ้น 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา