แม้การเข้ามาของ Jim Hackett ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ford เมื่อ 3 ปีก่อนจะช่วยให้ Ford ก้าวกระโดดในเรื่องเทคโนโลยี แต่ด้วยผลกำไรที่ออกมาไม่ดีนัก Ford จึงแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่
ยกระดับองค์กรแค่มุมเทคโนโลยี
หากนับแต่แต่ปี 2560 ที่ Jim Hackett เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ford ค่ายรถยนต์เก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับภาพลักษณ์มาเน้นทำตลาดรถกระบะ และ SUV มากขึ้น พร้อมลดต้นทุนการทำธุรกิจด้วยการยุติการทำตลาดรถยนต์รุ่นที่ไม่ทำกำไรให้ Ford ออกไป
ขณะเดียวกัน Jim Hackett ยังมีส่วนในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนประสิทธิภาพสูงอย่าง Mustang Mach E ที่ยกระดับภาพลักษณ์ด้านรถยนต์ไฟฟ้าของ Ford ไปอีกขั้น ทั้งยังเข้าลงทุนใน Rivian แบรนด์ Startup รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการจับมือกับ Volkswagen เพื่อพัฒนารถยนต์เพื่อการพาณิชย์ร่วมกัน
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่คำมั่นสัญญาเรื่องเดียวที่ Jim Hackett อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน Steelcase ทำได้ เพราะแทนที่จะฟื้นฟูกิจการให้ Ford กลับมาเติบโตจากวิกฤตทางธุรกิจ เขากลับทำให้มันทรุดอยู่ที่เดิม
ทั้งกำไร และมูลค่าหุ้นที่ลดลง
ไล่ตั้งแต่กำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และในปี 2563 มีวิกฤต COVID-19 เข้ามากระทบอีก ทำให้ Ford ยิ่งฟื้นกลับมายาก เพราะในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทขาดทุนกว่า 876 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงนักลงทุนยังลดความเชื่อมั่นใน Ford อ้างอิงจากราคาหุ้นในช่วงแรกที่ Jim Hackett เข้ามาอยู่ที่ 11 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันเหลือ 6.86 ดอลลาร์
ยิ่งมูลค่ากิจการของ Ford เป็นเพียง 1 ใน 10 ของ Tesla ผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายรถยนต์ได้น้อยกว่า Ford และก่อตั้งหลัง Ford ราว 100 ปี ดังนั้นเมื่อ Jim Hackett ทำสำเร็จเพียงแค่เรื่องเดียว แถมเรื่องการเงินที่ควรจะสำเร็จมากกว่ายังทำไม่ได้ เขาจึงเกษียณอายุ และทาง Ford ได้แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่
นั่นคือ Jim Farley โดยเขาจะเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. หรือวันเดียวกับที่ Jim Hackett เกษียณอายุ และตัว Jim Farley ปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ โดยก่อนหน้านี้ทำงานกับ Ford มาตั้งแต่ปี 2550
อนาคตใหม่ของ Ford ที่เน้นกำไร
Jim Farley เป็นอีกคนในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ที่น่าสนใจ เพราะก่อนมาทำงานกับ Ford เขาทำงานกับ Toyota และมีส่วนในการสร้างแบรนด์ Lexus ให้ประสบควาสำเร็จในสหรัฐอเมริกา ส่วนการเข้ามาทำงานกับ Ford นั้นเขารับงานในหลายตำแหน่ง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่การตลาด จนถึงเบอร์ต้นๆ ในการบริหารงานที่ยุโรป
สำหรับเป้าหมายการเข้ารับตำแหน่งเบื้องต้นของ Jim Farley คือการยกระดับการแข่งขันของ Ford ให้ดีขึ้น ผ่านการไม่มองแค่ผู้ผลิตรถยนต์ด้วยกันเป็นคู่แข่ง เช่น GM แต่ต้องมองถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Amazon, Tesla และ Baidu รวมถึงเบอร์ต้นๆ ของอุตสาหกรรมอย่าง Toyota ด้วย
นอกจากนี้ Jim Farley ยังเตรียมวางแผนยกระดับกำไรของ Ford ในอเมริกาเหนือเพิ่ม 10% ผ่านการทำตลาดอย่างเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย พร้อมกับลดต้นทุน และฟื้นฟูการทำตลาดในพื้นที่ยุโรป, จีน และอเมริกาใต้ เพื่อให้ Ford กลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สรุป
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว เพราะใช้ระยะเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น และส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า Jim Hackett น่าจะมีแผนดีๆ ที่ยังสานต่อไม่เสร็จ อ้างอิงจากแผนการพลิก Ford ให้มีนวัตกรรมมากมายออกมา แต่พอเรื่องการเงินไม่ดีดังหวัง ทุกอย่างก็ต้องเริ่มใหม่ และต้องรอลุ้นกันว่า Jim Farley จะทำสำเร็จหรือไม่
อ้างอิง // New York Times, Ford
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา