Ford อาจไม่ใช่ค่ายรถยนต์ใหญ่ในบ้านเรา เมื่อเทียบกับ Honda หรือ Toyota แต่ในช่วง 2 ปีมานี้ Ford มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ที่ชนะรางวัลระดับโลก ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าประสิทธิภาพดีจริง และยังโดดเด่นในการทำตลาดดิจิทัล ที่ติดอันดับ 1 ของประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ที่สำคัญปีนี้ คือปีที่ Ford กลับมารุกตลาด C-Car อีกครั้งด้วย Ford Focus EcoBoost Turbo 1.5L หลังจากที่ Ford Focus รุ่นที่แล้วทำตลาดไปตั้งแต่ปี 2012 ศรุต อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ฟอร์ด ประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมตลาด C-Car ในปีนี้ และเป้าหมายของฟอร์ดได้อย่างน่าสนใจ
- ฟอร์ด ระบุว่าตลาด C-Car มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหญ่ที่ได้รับความนิยม (ฮอนด้า, โตโยต้า) รวมถึงขนาดตลาดยังมีการหดตัว จากปกติสัดส่วนของ C-Car จะอยู่ที่ประมาณ 8% ของตลาดรวม หรือกว่า 60,000 คัน แต่ในปีนี้คาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 5% หรือประมาณ 40,000 คันเท่านั้น โดย 5 เดือนแรกของปี 59 อยู่ที่กว่า 4% แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะขยับดีขึ้น
- สาเหตุที่ตลาด C-Car (เช่น Focus, Mazda3, Altis, Civic) หดตัว เพราะตลาดรถใน Segment อื่นๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมามาก ทั้ง B-Car และ Eco-Car แต่ที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ B-SUV หรือ รถ SUV ขนาดเล็ก เช่น B-RV, EcoSport และ Juke ที่มาแย่งตลาดทั้งเรื่องราคาที่ชนกันตรงๆ และกลุ่มลูกค้าก็เป็นกลุ่มเดียวกันอีกต่างหาก
- ดังนั้น ตลาด SUV (รวมทั้ง SUV และ B-SUV) จะแข่งขันกันสนุกแน่นอน ซึ่งฟอร์ดมี EcoSport ทำตลาดอยู่แล้ว
- แม้การแข่งขันรุนแรงและตลาดก็หดตัว แต่ฟอร์ด ได้กลับมาทำตลาด C-Car อีกครั้งด้วย ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ โดยมีแนวทาง เน้นสร้างการรับรู้ (Awareness) ให้กับลูกค้า ทั้งเรื่องเครื่องยนต์ใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ให้ลูกค้ารับรู้ก่อนว่าของใหม่ดียังไง มีเป้าหมายที่กลุ่มลูกค้าระดับ Professional เป็นกลุ่มระดับกลางบนขึ้นไป ที่เน้นศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อรถ
- ฟอร์ด เน้นทำตลาดดิจิทัลและออนไลน์มากเป็นพิเศษ แทนการตลาดแบบหว่านแห ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ฟอร์ดมีสัดส่วนการใช้งบการตลาดดิจิทัลมากกว่า 10% ใช้กลยุทธ์ Always On ที่ใช้ทั่วโลกเพื่อสร้างความแตกต่าง ไม่ว่าไปที่ไหนต้องเห็นแบรนด์ฟอร์ด ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้าง Engagement กับลูกค้าได้ดีมาก จนเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดวิวสูงที่สุดในประเทศไทยและอาเซียน ได้รับรางวัลจาก Zocial Awards 2016 และเป็นโอกาสในการเปลี่ยนมาเป็นยอดขายในอนาคต
- อย่างไรก็ตาม การทำตลาดแบบเดิมๆ ก็ยังต้องทำเป็นหลัก เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้ดี ทั้ง อีโคสปอร์ต, เอเวอเรสต์, เฟียสต้า และ เรนเจอร์ (ฟอร์ด เรนเจอร์ มีส่วนแบ่งตลาด 9% มีเป้าหมายที่ 14%) โดยที่ฟอร์ด ตั้งเป้าว่าภายใน 1-2 ปีนี้ จะต้องมีส่วนแบ่งตลาดรวม 8% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5.4%
บทสรุป
รถยนต์ฟอร์ด เป็นรถที่ขับสนุก สมรรถนะดี ใครได้ลองจะติดใจได้ง่ายๆ แต่ต้องยอมรับว่าราคาค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันเล็กน้อย จึงต้องเน้นสร้างการรับรู้กับลูกค้ามากๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้ว่า เครื่องยนต์ใหม่ขนาดเล็ก 1.5 เทอร์โบ แรงกว่าเครื่องเดิม 1.8 เพราะเมื่อเทียบกับ ฮอนด้า ที่เปิดตลาดด้วยเครื่อง 1.8 และ 1.5 เทอร์โบ ให้ลูกค้าเลือก แต่ฟอร์ดเลือกจะเปิดรุ่น 1.5 เทอร์โบเพียงรุ่นเดียว เป็นโจทย์ที่ฟอร์ดต้องเน้นเป็นพิเศษ
อีกส่วนที่สำคัญคือศูนย์บริการและการให้บริการหลังการขาย เมื่อฟอร์ดมียอดขายมากขึ้น มีรถใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ต้องมีศูนย์บริการที่มากเพียงพอ และต้องบริหารจัดการชิ้นส่วนอะไหล่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะนี่ถือเป็นจุดอ่อนหนึ่งของฟอร์ดอยู่แล้วเมื่อเทียบกับแบรนด์ยอดฮิตในตลาด ซึ่งทางฟอร์ดเองยืนยันว่าจะเร่งลงทุนขยาย พร้อมกับพัฒนา Service Mind ในการให้บริการ โดยยอมรับว่าที่ผ่านมายังไม่ได้มาตรฐาน แต่เมื่อมีเป้าหมายในการปรับปรุง เชื่อว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่นอน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา