การคมนาคมขนส่งในอนาคตจะเป็นอย่างไร ในโลกที่มีบริการเรียกรถผ่านแอพ มีรถยนต์ไร้คนขับ เรายังต้องซื้อรถยนต์กันอยู่ไหม แล้วบริษัทรถยนต์ล่ะ จะอยู่รอดหรือไม่ ต้องปรับตัวอย่างไร?
คำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก ถามตัวเองมาหลายปี เราเห็นข่าวกลุ่ม GM (General Motors) บริษัทรถยนต์รายใหญ่ ซื้อกิจการ Sidecar บริการเรียกรถยนต์คู่แข่งของ Uber ที่ปิดตัวไป
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมาจากคู่แข่งเพื่อนร่วมชาติ Ford Motors ที่ซื้อบริษัทรถชัทเทิลบัส Chariot สตาร์ตอัพในซานฟรานซิสโกมาทดสอบตลาดแล้ว
Chariot เป็นสตาร์ตอัพที่เริ่มก่อตั้งในปี 2014 โดยใช้รถชัทเทิลบัส Ford Transit (รถตู้ 15 ที่นั่ง) จำนวนเกือบ 100 คัน วิ่งให้บริการกับชาวเมืองซานฟรานซิสโก มีเส้นทางวิ่งประจำ 28 เส้นทาง จุดเด่นของ Chariot คือบริษัทไม่ได้วางผังเส้นทางเอง แต่ใช้วิธี crowdsourcing รวบรวมข้อมูลจากลูกค้าว่าต้องการให้วิ่งรถอย่างไร จึงจะตรงตามความต้องการมากที่สุด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Chariot เกิดขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในการคมนาคม ระหว่างการเรียกรถแท็กซี่ที่สะดวกแต่ราคาแพง กับรถประจำทางที่ราคาถูกแต่อาจวิ่งไม่ตรงกับที่เราต้องการ
ในอนาคต บริการรถชัทเทิลบัสของ Chariot ต้องการพัฒนาให้ทำงานได้แบบเรียลไทม์ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อปรับเส้นทางวิ่งตามความต้องการของลูกค้า ณ เวลานั้นได้เลย
การซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการซื้อกิจการครั้งแรกของ Ford Smart Mobility บริษัทลูกของ Ford ที่เพิ่งก่อตั้งในเดือนมีนาคม 2016 เพื่อแยกหน่วยธุรกิจมาพัฒนาด้านรถยนต์ไร้คนขับและอนาคตของการขนส่งโดยเฉพาะ
นอกจาก Chariot แล้ว Ford ยังประกาศความร่วมมือกับบริษัท Motivate ที่ทำเรื่องการแบ่งปันจักรยาน (bike sharing) เพื่อขยายบริการจักรยาน Ford GoBike ที่จะเปิดตัวในปี 2017 ให้มีจักรยานบริการในเมืองซานฟรานซิสโกมากถึง 7,000 คันภายในปี 2018
แนวคิดของ Ford อยู่ใต้บริการร่มใหญ่ชื่อ FordPass เป็นแอพสำหรับบริหารจัดการวิธีการเดินทางทั้งหมดของลูกค้า Ford ไม่ว่าจะเป็นควบคุมรถยนต์ผ่านแอพ, เชื่อมต่อกับดีลเลอร์, ค้นหาที่จอดรถ และในอนาคตจะใช้เช่าจักรยาน Ford GoBike ได้ด้วย
ข้อมูลจาก Ford
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา