จากซองสู่ร้าน! เนสกาแฟเปิด NESCAFE Hub กินรวบตลาดกาแฟในบ้าน-นอกบ้าน

เนสกาแฟประกาศบุกตลาดกาแฟนอกบ้านเป็นครั้งแรก เปิดร้านกาแฟแห่งแรก NESCAFE Hub ที่แรกบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสชิดลม จำหน่ายกาแฟสด รับเทรนด์ผู้บริโภคดื่มกาแฟนอกบ้านมากขึ้น

จับเทนด์ตลาดกาแฟนอกบ้าน เติบโตสวย

เนสกาแฟ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นใหญ่ในตลาดกาแฟ ทำตาดในไทยได้ 40 ปีแล้วที่ผ่านมาได้จับตลาดในหลายๆ เซ็กเมนต์ทั้งกาแฟผง กาแฟทรีอินวัน กาแฟกระป๋อง เนสกาแฟมีความแข็งแกร่งในตลาดกาแฟในบ้านอย่างมาก

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคกับการดื่มกาแฟมีการเปลี่ยนไปมาก มีทั้งเทรนด์ของกาแฟสด ทำให้เนสกาแฟมีการปรับตัวหลายๆ อย่างเริ่มต้นจากการปรับสูตร ปรับโฉมกาแฟทรีอินวันเป็น เนสกาแฟเบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบด อาศัยเทรนด์ของกาแฟสดเข้ามา และปรับสูตรเนสกาแฟโกลด์ด้วย

แต่อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือการดื่มกาแฟนอกบ้านซึ่งมีการเติบโตขึ้นทุกปี เมื่อดูภาพรวมตลาดกาแฟมูลค่า 64,700 ล้านบาท เติบโต 4% แบ่งเป็นตลาดกาแฟในบ้าน 59% มีมูลค่า 38,000 ล้านบาท และกาแฟนอกบ้าน 41% มูลค่า 26,700 ล้านบาท มีการเติบโต 8% กาแฟนอกบ้านแบ่งออกเป็น Specialty Cafe หรือร้านคาเฟ่ เชนร้านกาแฟ 64% หรือมูลค่า 17,000 ล้านบาท และอื่นๆ รถเข็นต่างๆ 36%

ทำให้ปีนี้เนสกาแฟลงมาเล่นตลาดกาแฟนอกบ้านเป็นครั้งแรกในไทย จากแต่เดิมอยู่แค่ในซอง ในขวดแก้ว ตอนนี้เปิดร้าน NESCAFE Hub สาขาแรกที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ชิดลม แต่เป็นรูปแบบของ On the go ที่ซื้อดื่ม ไม่มีพื้นที่นั่งเป็นคาเฟ่ จำหน่ายกาแฟสดจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้านำเข้าจากโคลอมเบีย

เหตุผลที่เนสกาแฟลงมาเล่นตลาดนี้ก็เพราะว่าต้องการขยายตลาดจากเดิมแค่เป็นกาแฟในบ้านที่ต้องรอให้ผู้บริโภคชงดื่มในบ้าน แต่เพิ่มโมเดลกาแฟนอกบ้านให้ดื่มตามโลเคชั่นต่างๆ ตามเทรนด์ผู้บริโภคยุคนี้ด้วย

เอาโมเดล OOH จากญี่ปุ่นสู่ไทย เจาะโลเคชั่นแหล่งเดินทาง

ร้าน NESCAFE Hub เป็นโมเดลที่ได้มาจากประเทศญี่ปุ่นที่เปิดมาแล้ว 8 ปี มี 50 สาขา เน้นที่แหล่งเดินทาง ย่านรถไฟฟ้า มีแฟล็กชิพสโตร์อยู่ที่ย่านชินจูกุ เมืองโตเกียว และยังมีที่ประเทศเกาหลีใต้ และมาเลเซีย ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 ที่ใช้โมเดลกาแฟนอกบ้าน

NESCAFE Hub ที่ประเทศญี่ปุ่น

แวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟ และครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เล่าว่า

เนสกาแฟอยู่ในประเทศไทยมา 40 ปีแล้ว ที่ผ่านมาได้มีนวัตกรรมใหม่ๆ โดยตลอด ตอนนี้มีโจทย์ใหญ่คืออยากให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภครัก ไม่เจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้แค่เจาะในบ้าน ตอนนี้กาแฟนอกบ้านก็สำคัญ เป็นการเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ในการดื่มกาแฟด้วย

ในประเทศไทยได้เริ่มต้นจากร้านกาแฟนอกบ้านที่จุด Transit หรือจุดศูนย์ทางการเดินทาง ตลาดนี้มีการมองว่ามีมูลค่าถึง 1,000 ล้านบาท เป็นร้านที่อยู่บนสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ รถไฟ แหล่งคมนาคม ที่ญี่ปุ่นเองก็ใช้โมเดลนี้ เพราะมีทราฟิกสูง

ซึ่งโมเดลนี้ในประเทศญี่ปุ่นมีการเติบโตถึง 150% มีการจำหน่ายกาแฟสดไปแล้วกว่า 16 ล้านแก้วต่อปี

เลือกชิดลมเพราะกลุ่มลูกค้าหลากหลาย ออฟฟิศมหาลัย

NESCAFE Hub สาขาแรกในไทยได้เปิดที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสชิดลมทางออกที่ 4-5 เป็นทางเชื่อมไปเซ็นทรัลชิดลม และเมอคิวรี่ วิลล์ ซึ่งศุภวัฒน์ คามีเยาน์ผู้จัดการฝ่ายพัฒนากลุ่มธุรกิจกาแฟ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ให้เหตุผลว่า

ที่เลือกทำเลชิดลมนั้นเพราะเป็นแหล่งเทรนด์ดี้ในเมือง มีความวาไรตี้อยู่หลายอย่างทั้งกลุ่มเป้าหมายที่มีทั้งพนักงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น ไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มออฟฟิศอย่างเดียว ที่เลือกทำเลบนรถไฟฟ้าเพราะอยากเป็นโมเดล Transit ที่สำเร็จจากที่ญี่ปุ่นมาแล้ว มีโจทย์คล้ายๆ กัน อยากให้ผู้บริโภคมีทางเลือก ไม่จำเป็นต้องนั่งร้าน

ตรงทำเลที่ตั้งมีทราฟิกคนเดือนผ่านเฉลี่ย 15,000 คนต่อวัน มีการตั้งเป้าขาย 300 แก้วต่อวัน

ขายทั้ง Coffee และ Non-Coffee ราคาเริ่มต้น 40 บาท

สำหรับ NESCAFE Hub มีเมนูกาแฟ 6 เมนู Nitro Tab 1 เมนู Signature 3 เมนู และเมนู Non-coffee 5 เมนู เพื่อเอาใจคนไม่ดื่มกาแฟ มีราคาเริ่มต้นที่ 40-60 บาทกาแฟที่ใช้เป็นเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากโคลอมเบีย

เมนูซิกเนเจอร์จะเป็นการเอากาแฟผสมกับเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชากาแฟ, คาเฟ่โมฮิโต้ และลาเวนเดอร์บลิส

ต้องการเป็น Total System ของกาแฟ ไม่ใช่แค่อยู่ในบ้าน

การเปิด NESCAFE Hub ของเนสกาแฟครั้งนี้ นอกจากจะกินรวบทั้งตลาดกาแฟในบ้าน และนอกบ้านแล้ว อีกนัยสำคัญหนึ่งก็คือต้องการพ่วงโซลูชั่น Nescafe Gold Barista เป็นโมเดล Subscription ทางเนสกาแฟบริการให้เครื่องชงกาแฟฟรี แต่ต้องสมัครแพ็คเกจสั่งซื้อสินค้าเนสกาแฟ เป็นการจับกลุ่มลูกค้าสำนักงาน

การเปิด NESCAFE Hub ทำให้คนเห็นโซลูชั่นนี้มากขึ้น ทางเนสกาแฟเองก็ต้องการขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้นเช่นกัน ไม่ได้จำกัดแค่กาแฟอยู่ในบ้าน แต่ต้องครอบคลุมทั้งนอกบ้าน และสำนักงาน ส่วนธุรกิจ HoReCa หรือร้านกาแฟ ได้มีเครื่องกาแฟ Nescafe Milano ที่ทำตลาดอยู่

ปัจจุบันเนสกาแฟครองตลาดกาแฟทรีอินวัน 60% กาแฟผง 80% ส่วนกาแฟกระป๋องมีส่วนแบ่งตลาด 32%

สุดท้ายแล้วทางเนสกาแฟยังมองว่าโอกาสในการเติบโตของตลาดกาแฟยังมีอีกมาก เพราะอัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยยังไม่สูงเฉลี่ย 300 แก้ว/คน/ปี ส่วนประเทศญี่ปุ่น 400 แก้ว/คน/ปี และยุโรป 600 แก้ว/คน/ปี

สรุป

เป็นทิศทางสำคัญของเนสกาแฟพอสมควรที่บุกตลาดกาแฟนอกบ้าน เป็นเทรนด์ของผู้บริโภคที่ชอบดื่มกาแฟสด และนั่งร้านคาเฟ่ต่างๆ ทางเนสกาแฟได้เลือกจุดทรานซิสรถไฟฟ้าก่อน เป็นจุดที่ได้ทราฟิกมาก สร้างการรับรู้ ก่อนที่จะขยายไปสาขาอื่นในอนาคต เรียกว่าเป็นการสร้างประสบการณ์แบบใหม่ของการดื่มกาแฟจากแต่เดิมที่แค่ฉีกซองชงในบ้าน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Ratinun Chaiwiboolvech | Content Editor | Marketing | Retail | Media | Liverpool ratinun.tk@gmail.com