วิเคราะห์ FAB ร่วมกันแกร่ง ผนึก 8 แบรนด์ร้านดัง จาก 3 บริษัท Food Factors – Aqua – Beer ใบหยก

ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี จะกินอะไรก็ต้องคิด ยิ่งไปเดินในห้างสรรพสินค้า มีตัวเลือกร้านอาหารเยอะแยะมากมาย ทุกร้านถือเป็นคู่แข่งกันทั้งหมด เพราะเป้าหมายคือเงินในกระเป๋าของลูกค้าเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าธุรกิจร้านอาหารสามารถสร้างความได้เปรียบให้เกิดขึ้นได้ นั่นคือโอกาสอย่างยิ่ง

และเพื่อสร้างความได้เปรียบให้เกิดขึ้น 3 พาร์ทเนอร์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้วจึงหันมาร่วมมือกัน ประกอบด้วย “Food Factors – Aqua – Beer ใบหยก” เปิดบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด หรือ FAB นี่คือ ความร่วมมือของกลุ่มเพื่อนพี่น้อง ฉาย บุนนาค, ภูริต ภิรมย์ภักดี และปิยะเลิศ ใบหยก เสริมจุดแข็งในสิ่งที่แตกต่างกัน เป็นบริษัทด้านอาหาร ที่รวมร้านอาหารแบรนด์ดังทั้ง 8 คือ ร้านราเมงเดส, ร้านซานตาเฟ่, ร้านซานตาเฟ่ อีซี่, ร้านเหม็ง แซ็ปนัว, ร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ร้านเซไค โนะ ยามะจัง, ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน ไว้ในเครือเดียวกัน

ปิยะเลิศ “เบียร์” ใบหยก นักธุรกิจหนุ่มจากตระกูลใบหยก ที่มีประสบการณ์บริหารแบรนด์ร้านอาหารประสบความสำเร็จ และยังเชี่ยวชาญธุรกิจกลุ่ม Hospitality และมีบริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง รับหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ FAB บอกว่า การมาร่วมมือครั้งนี้ถ้าเทียบกับอาหารจานหนึ่งแล้ว เป็นเมนูที่อร่อย จัดจ้าน ทานได้ไม่เบื่อ และได้การการันตีรางวัลจากนักทานอย่างแน่นอน

“ที่ผ่านมามีประสบการณ์บริหารธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้ว เข้าใจการทำธุรกิจทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน การบริหารต้นทุนเป็นอย่างดี และมีแพชชั่นเรื่องนี้อย่างมาก การนำ 8 แบรนด์ร้านอาหารมารวมกัน มองเห็นภาพการ Synergy กัน รับรองว่าสร้างสีสันให้กับวงการแน่นอน”

ปิยะเลิศ บอกว่า สัดส่วนการถือหุ้นคือ Aqua 51% Singha 40% และ Beer 9% แต่ยังไม่มีการคุยกันว่าต้องใช้เงินลงทุนมากน้อยแค่ไหน เริ่มต้นอยากเข้ามาดูก่อนว่าการอยู่ในเครือเดียวกันจะช่วยลดต้นทุนบริหารจัดการอะไรได้บ้างซึ่งสามารถทำได้ทันที เช่น ลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดต้นทุนบริหารจัดการภายใน จาก Economy of Scale การทำระบบ CRM สมาชิกร่วมกันในเครือ มีครัวกลางสำหรับรองรับลูกค้าสั่ง Delivery ไปจนถึงการ Collaboration ระหว่างแบรนด์ด้วยกัน ยังไม่นับเรื่องบุคลากรที่มีหลายพันคน

ปัจจุบัน FAB มีร้านอาหารรวมทั้งหมด 204 สาขา มีแผนขยายเพิ่มอีกประมาณ​ 40-50 สาขาในปี 2568 โดยเน้นที่ ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน ซึ่งสามารถขยายออกต่างจังหวัดได้ ขณะที่ Santafe ซึ่งมีจำนวนสาขาเยอะจะเน้นรีเฟรชแบรนด์ให้มีความสดใสสนุกสนานมากขึ้น สำหรับร้านอาหารทั้งหมด แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ

  • กลุ่มสเต็ก มี Santafe 127 สาขา จุดเด่นอยู่มา 20 กว่าปีแล้ว มีลูกค้าทุกช่วงวัย เป็นร้านสเต็กที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ต่อด้วย Santafe Easy 5 สาขา
  • กลุ่มส้มตำ มี ร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน 42 สาขา และเหม็ง แซ็ปนัว 10 สาขา
  • กลุ่มอิซากายะ มี เซไค โนะ ยามะจัง 10 สาขา
  • กลุ่มราเมน มีร้านราเมงเดส ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน

นอกจาก 4 กลุ่มนี้ ภายในปี FAB จะเพิ่มกลุ่มปิ้งย่าง โดยเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาอีก 1 ร้าน โดยแนวทางในการบริหารธุรกิจร้านอาหารของ FAB คือ ต้องเน้นรสชาติอร่อย สะอาด สนุกและเฟรนด์ลี่ ทุกคนเข้าถึงได้ ยึดลูกค้าเป็นหลัก มาแล้วอยากมาอีก เรื่องรายได้และกำไรไว้ทีหลัง ซึ่งที่ผ่านมารายได้รวมทั้งเครืออยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านบาทต่อปี และมองว่าปีหน้าจะสร้างการเติบโตได้แต่ยังไม่ได้ตั้งเป้าชัดเจน

ปิดท้ายด้วยแผนเปิด Hub ลักษณะ Flagship Store ที่จะรวมทุกร้านในเครือไว้ในที่เดียวภายในปี 2568 น่าจะอยู่ในย่านทาวน์อินทาวน์ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์จากการสามารถกินอาหารจากร้านในเครือได้ทั้งหมด

ฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA บอกว่า Aqua ต้องการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม จากเดิมที่มีทั้งธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ เห็นว่าธุรกิจอาหารน่าสนใจ ยิ่งมาร่วมมือกับ Food Factors และบริหารงานโดย ปิยะเลิศ ทำให้มั่นใจได้ว่า นี่คือการร่วมทุนที่แข็งแกร่ง โดย Aqua ทำในสิ่งที่ถนัดคือ Investment Company นี่จึงเป็นการลงทุนเพื่อสร้าง New S Curve ใหม่

ภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บอกว่า การจะทำธุรกิจร้านอาหารนอกจากต้องรู้ลึกรู้จริงแล้ว ต้องมีแพชชั่นอย่างมาก ส่วนตัวมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเครื่องดื่ม การมาร่วมพันธมิตรจะย่ิงทำให้ทุกอย่างแข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุดจริงๆ

สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ FAB จะเน้นที่กลุ่ม Young generation ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน เพราะมีการตัดสินใจที่เฉียบขาด กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็คงรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย

ชัยพิพัฒน์ แก้วไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA บอกว่า AQUA เข้าสู่วงการอาหาร โดยเริ่มจากธุรกิจราเมง คือ “Ramen Desu” (ราเมงเดส) ปัจจุบันมีอยู่ 5 สาขา เชื่อว่าธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มั่นคง เติบโตตามการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แบรนด์ร้านอาหารที่ลงทุนครั้งนี้ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ได้รับการปลุกปั้นมาอย่างดีจากทั้ง 2 พันธมิตรอีกทั้งทุกแบรนด์ยังเป็นที่รู้จัก เปิดมายาวนาน ซึ่งจะสามารถส่งเสริมในแต่ละส่วนของกันและกันได้ และจะสามารถนำสิ่งที่ดีให้แก่ผู้บริโภคได้

วรภัทร ชวนะนิกุล Chief Financial Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด บอกว่า ปัจจุบันฟู้ด แฟคเตอร์ มีร้านอาหาร 3 แบรนด์หลัก ที่ให้บริการมายาวนานจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ได้แก่ ซานตาเฟ่, ซานตาเฟ่ อีซี่ และเหม็ง แซ็ปนัว ซึ่งแต่ละแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเฉพาะ โดยมีความเชี่ยวชาญอาหารตะวันตกอย่างสเต๊กและอาหารอีสานซึ่งมีตลาดที่ชัดเจนอยู่แล้ว การรวมกันในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงรักษาหัวใจสำคัญในด้านคุณภาพของวัตถุดิบ และรสชาติความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์

สำหรับการร่วมทุนครั้งนี้ มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด (FAB) และมีการรวมแบรนด์ร้านอาหารทั้งสิ้น 8 แบรนด์ จำนวน 204 สาขา แบ่งเป็นบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด 3 แบรนด์ คือ ร้านซานตาเฟ่, ร้านซานตาเฟ่ อีซี่ และร้านเหม็ง แซ็ปนัว รวม 142 สาขา ในส่วนของบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 1 แบรนด์ คือร้านราเมงเดส รวม 5 สาขา และจากกลุ่มเบียร์ ใบหยกและบีเอ็นเอฟ โฮลดิ้งส์ 4 แบรนด์ คือ ร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ร้านเซไค โนะ ยามะจัง, ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน รวม 57 สาขา

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา