เลื่อนดีกว่าเจ็บยาว ตามเมกามาก ร้าวกับจีนแน่! นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มธ. แนะรัฐบาลทบทวนข้อเสนอ มุ่งแก้ปัญหาระยะยาว มากกว่าวิ่งตามปัญหาระยะสั้น

หลัง ‘รัฐบาลไทย’ ประกาศว่าได้เลื่อนการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่มีกำหนด เมื่อวานนี้ ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ให้ความเห็นว่า เลื่อนอาจดีกว่าบาดเจ็บระยะยาว พร้อมแนะนำให้รัฐบาลรอดูผลการเจรจาของประเทศอื่นก่อน แล้วทบทวนข้อเสนอก่อนเริ่มขั้นตอนเจรจาอีกครั้ง

รักษาสมดุลจีน-เมกา ไม่สร้างรอยร้าวกับชาติมหาอำนาจ

โดยในรายละเอียด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. อธิบายว่า แม้ว่าสถานะและบทบาทของประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบและต้องเจ็บตัวบนโต๊ะเจรจาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ประเทศไทยควรใช้จังหวะเลื่อนเจรจากลับมาทบทวนประเด็นข้อเสนอ-ข้อแลกเปลี่ยนให้มีความรอบด้านมากยิ่งขึ้น รวมทั้งคอยสังเกตผลการต่อรองของประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นตัวแบบในการเปรียบเทียบ ช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้กับประเทศไทย

หน้าที่ของคณะทำงานไทยในการเจรจา คือ รักษาสมดุลระหว่างการยื่นเงื่อนไขหรือข้อเสนอเพื่อทำให้สหรัฐพึงพอใจ กับการรักษาจุดยืนความเป็นกลางไม่เดินตามสหรัฐมากเกินไป

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยร้าวกับประเทศจีนเพราะช่วงที่ผ่านมาจีนได้ประกาศที่จะตอบโต้อย่างแข็งกร้าวต่อทุกประเทศที่จะทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ และร่วมกันจำกัดการค้าประเทศจีน เพื่อแลกกับการได้รับยกเว้นภาษีจากสหรัฐ

ไม่ทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจ ไม่บาดเจ็บระยะยาว

โจทย์ คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ข้อตกลงมาทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจของไทย เช่น หากต้องนำเข้าสินค้าการเกษตรมากขึ้น รัฐจะมีมาตรการอย่างไรในการดูแลเกษตรกรไทย

หรือหากต้องดำเนินการสั่งซื้อยุทโธปกรณ์หรือเทคโนโลยีทางการทหารของอเมริกา ก็จะต้องไม่ใช่เพียงแค่นำมาใช้ในทางสงครามเท่านั้น แต่ต้องนำมาต่อยอดเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ด้วย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมต่อเรือ และอุตสาหกรรมการแปรูปต่างๆ ฯลฯ

“ไทยอาจจะประสบกับการบาดเจ็บระยะสั้น จากการที่ต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกังวลมากจนเกินไป เพราะถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมต้องเกิดขึ้นแน่ โจทย์ใหญ่คือเราจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดกระบวนการป้องกันการบาดเจ็บระยะยาว

ส่วนตัวจึงมองว่าไม่ควรแก้ไขเพียงแค่การลดเงื่อนไขการซื้อ-ขาย เป็นรายการสินค้าๆ ซึ่งเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่ประเทศควรจะใช้โอกาสนี้ในการแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องบาดเจ็บมากนัก” ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว

เร่งพัฒนากำลังคนทักษะสูง โชว์วิสัยทัศน์แก้ปัญหาระยะยาว

แต่อีกหนึ่งประเด็นที่อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ท่านนี้กล่าวถึง คือ ความกังวลเกี่ยวกับ ‘สุญญากาศด้านการลงทุน’ ที่ไทยจะต้องเผชิญระหว่างรอความชัดเจนจากการเจรจา

‘ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว’ อธิบายว่า ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ประกอบการต่างชาติได้ตัดสินใจชะลอการลงทุนไปแล้วตั้งแต่ที่ทราบว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และขณะนี้นักลงทุนก็กำลังเกิดความไม่เชื่อมั่น

ฉะนั้น ภาครัฐและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรจะต้องหันกลับมาแก้ปัญหาภายในประเทศ โดยเรื่องเดียวที่จะทำให้แก้ไขปัญหาได้คือ “เราต้องสร้างกำลังคนทักษะสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต”

เพราะแม้ต่อไปกำแพงภาษีจะเพิ่มขึ้น 30–40% แต่หากคนไทย 1 คน สามารถทำงานเท่ากับคนปกติได้ถึง 3 คน นั่นหมายความว่า เราสามารถประหยัดงบไปได้ถึง 1 ใน 3

“จากข้อมูลตัวเลขที่เคยมีการวิจัยเอาไว้ จะต้องมีการยกระดับแรงงานอย่างน้อย 12 ล้านคน ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่นักลงทุนมองเห็นว่าแรงงานของเรามีคุณภาพ มีทักษะสูง มีประสิทธิภาพจริงๆ มันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เขาตัดสินใจอยากจะลงทุนกับเราในระยะยาว

ฉะนั้นในระยะ 90 วันนี้ หากเราออกตัวเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้เร็ว มันทำให้นักลงทุนเห็นว่าเรามีวิสัยทัศน์ แม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงเรื่องกำแพงภาษี แต่เขาก็จะรู้สึกว่ามันยังน่าลงทุน ถ้าเราเอาแต่กังวลเรื่องการเจรจาทางการค้า ซึ่งเป็นการวิ่งตามแก้ไขปัญหาระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาระยะยาว ก็จะทำให้ผู้ประกอบการกังวล เพราะเขาก็ต้องลงทุนอยู่กับเราในระยะยาวเช่นกัน”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา