หากนำยอดขายซอสยี่ห้อดังๆ อย่าง Heinz, Kikkoman, Tabasco, Huy Fong และ LKK มารวมกันจะมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งนั่นไม่มีชื่อของซอสไทยอยู่เลย ทำให้ Exotic Food มองเห็นโอกาสทางธุรกิจมหาศาล
เริ่มจากเล็กๆ จนก้าวสู่ระดับโลก
Exotic Food หรือบมจ.เอ็กโซติก ฟู้ด นั้นก่อตั้งเมื่อปี 2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท แต่ด้วยธุรกิจที่เติบโตจนขยายโรงงาน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็ทำให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มเป็นกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งกว่าจะถึงจุดนี้มันไม่ง่ายเลย
เพราะเบื้องต้นตัวธุรกิจนั้นต้องการแค่ผลิตซอสปรุงรสแบบไทยๆ ออกมา แต่ด้วยกระแสอาหารไทยเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ทำให้บริษัทได้ขี่คลื่นความนิยมนี้เพื่อส่งออกซอสไทยไปสู่ตลาดโลก ผ่านการส่งออกซอสปรุงรส และน้ำจิ้มแบบไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำจิ้มไก่, ซอสพริก และอื่นๆ ก่อนขยายไลน์ไปที่การผลิตเครื่องแกง กับเครื่องประกอบอาหาร
นอกจากนี้ยังทำตลาดเครื่องดื่ม, อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และอาหารกึ่งสำเร็จรูปอื่นๆ ด้วย แต่ถึงอย่างไรรายได้หลักก็ยังมาจากการจำหน่ายซอสอยู่ โดยคิดเป็น 79.4% ของรายได้ในครึ่งปีแรกที่ 532 ล้านบาท ที่สำคัญรายได้ยังมาจากการส่งออกไปยังกลุ่มยุโรปถึง 86.4% ของทั้งหมดอีกด้วย
ตลาดส่งออกซอสไทยที่ยังเติบโต
เมื่ออาหารไทยเป็น Mega Trend โลก ก็ไม่แปลกที่ตลาดการส่งออกซอส และสิ่งปรุงรสอื่นๆ (ไม่รวมน้ำปลา) จากประเทศไทยยังมีแนวโน้มเติบโต สังเกตจากครึ่งแรกของปี 2561 นั้นมีมูลค่า 6,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ซึ่ง Exotic Food ก็ยังเกาะกระแสนี้ด้วยการเพิ่มตัวแทนจำหน่าย และพาร์ทเนอร์ค้าปลีกจากปัจจุบันที่ทำตลาดกว่า 60 ประเทศทั่วโลก และมีร้านค้าปลีกกว่า 5,000 แห่งจำหน่ายสินค้าของตัวเองอยู่ โดยตลาดที่น่าสนใจคือแอฟริกาใต้, จีน และสเปน
แต่เพื่อคงการเติบโตไว้เช่นนี้ บริษัทก็ต้องเปิดตัวสินค้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นตัวแกงเขียวหวานสำเร็จรูป และซอสพริกศรีราชาขนาดต่างๆ เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่หายไปของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับเพิ่มความแข็งแกร่งในการจำหน่ายในประเทศที่ไทยก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของชาวต่างชาติ
ปรับเป้ายอดขายหลังไม่โดน Trade War
แม้บริษัทจะพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยตลาดหลักคือกลุ่มประเทศยุโรป ทำให้ไม่มีผลกระทบจาก Trade War ระห่วางจีน กับสหรัฐอเมริกา ทำให้ Exotic Food จึงตัดสินใจปรับเป้าการเติบโตจากต้นปีตั้งไว้ที่ 5-10% เป็น 10-15% นอกจากนี้ยังเตรียมเพิ่มราคาขาย 1.5-6.5% ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไปด้วย
ส่วนตัวกำไรสุทธินั้นบริษัทคาดว่าจะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากสิ้นปี 2560 ที่อยู่ราว 59 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทไม่ได้มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง เพราะมีหน่วยธุรกิจรับผลิตสินค้า (OEM) ให้กับธุรกิจที่สนใจด้วย แต่ส่วนนี้คิดเป็นรายได้เพียง 10% เท่านั้น
ทั้งนี้ด้วยตัวค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขึ้น ทำให้ได้เปรียบในเรื่องการส่งออกในราคาที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นโอกาสที่ Exotic Food จะสามารถพาซอสไทยภายใต้แบรนด์ที่ใช้ชื่อเดียวกับบริษัทออกไปติดตลาดโลกได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะเทียบชั้นกับยักษ์ใหญ่ตลาดซอสอาจเร็วไปสักนิดที่จะบอกตอนนี้
สรุป
ตลาดซอสปรุงรสนั้นมีมูลค่ามหาศาล และหากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตลาดนี้ได้ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าการปรุงรสแบบไทยๆ นั้นได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงจุดนั้น และจะให้แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งทำไม่ได้ เพราะผู้ผลิตซอสสัญชาติไทยต้องช่วยกันปั้นตลาดนี้ให้เติบโตเสียก่อน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา