Estee Lauder เป็นแบรนด์เครื่องสำอางเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานถึง 71 ปี และถือแบรนด์ดังๆ ไว้มากมาย แต่การกินบุญเก่าอาจไม่ช่วยอะไร จึงต้องหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน คือ Millennial นี่เอง
ซื้อกิจการ 2 แบรนด์วัยรุ่นปั้นยอด
เมื่อปี 2559 ทางกลุ่ม Estee Lauder อีกยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเครื่องสำอาง ที่ถือทั้ง MAC, La Mer, Tom Ford, Clinique และอีกกว่า 20 แบรนด์ ได้ตัดสินใจซื้อกิจการ Too Faced แบรนด์เครื่องสำอางที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น ด้วยมูลค่ากว่า 1,450 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 50,000 ล้านบาท และ BECCA ที่ไม่เปิดเผยมูลค่าซื้อขาย เพื่อตีตลาด Millennial
ซึ่งการเข้าซื้อกิจการเครื่องสำอางทั้ง 2 แบรนด์ ทำให้ Estee Lauder สามารถได้กลุ่มลูกค้าใหม่ และมียอดขายในไตรมาส 3 ที่เพิ่งจบไปเมื่อ 31 มี.ค. ที่ 2,860 ดอลลาร์ หรือราว 98,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 2,660 ล้านดอลลาร์ โดยมีตลาดในสหรัฐอเมริกากินสัดส่วนใหญ่ที่สุด หรือ 41% ของยอดขาย คิดเป็น 1,170 ล้านดอลลาร์
เดินเกม Ommi-Channel เกาะกระแส
ขณะเดียวกัน Estee Lauder ยังเดินเกมกลยุทธ์ Omni-Channel เพื่อสร้างการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่อีกด้วย ผ่านการร่วมมือกับ YouCam Makeup หรือ Application แต่งภาพที่มี Effect ต่างให้เลือก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนสีปากผ่านรุ่น Lipstick ของ Estee Lauder กว่า 30 เฉดสี หากพึงพอใจก็ไปหาซื้อผ่านออนไลน์ หรือหน้าร้านตามห้างต่างๆ ได้
ซึ่งกระแส Omni-Channel นั้นเกิดขึ้นทั่วโลก การที่แบรนด์เครื่องสำอางดังกล่าวเลือกที่จะปรับตัวตามไป แทนที่จะฝืนกระแสก็คงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และอีกไม่นานคงเห็นการทำตลาดรูปแบบนี้ในประเทศไทยมากขึ้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยก็ปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ได้เร็วไม่แพ้ชาติอื่นๆ
สรุป
อาจเพราะแบรนด์ Estee Lauder ดูเชย และไม่วัยรุ่นในกลุ่ม Millennial ดังนั้นการลดอายุแบรนด์ และพยายามหาแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพคงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มิฉะนั้นตัวแบรนด์เองก็คงตายตามไปกับกลุ่ม Baby Boomer และ Generation X ที่ค่อนข้างรู้จัก และเชื่อใจเครื่องสำอางแบรนด์นี้
อ้างอิง // Business Insider, Forbes
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา