การระบาดของ COVID-19 ทำให้ทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย หรือถูกกักตัวอยู่ที่บ้าน และนี่คือที่มาของ Lipstick Effect หรือการที่ทุกคนใส่ใจกับการแต่งหน้าน้อยลง ซึ่ง Estée Lauder เจอผลกระทบนี้เต็มๆ
อนาคตที่ฝากไว้กับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
Estée Lauder รายงานผลประกอบการประจำปีปฏิทิน 2563 (เดือนก.ค. 2562-มิ.ย. 2563) ว่า บริษัททำยอดขายได้ทั้งหมด 14,290 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้สินค้ากลุ่มต่างๆ ของบริษัทไม่สามารถจำหน่ายได้ดีเหมือนเดิม
เช่นผลิตภัณฑ์กลุ่มเมคอัพที่ปิดยอดขายได้ 4,794 ล้านดอลลาร์ ลดลง 18%, กลุ่มน้ำหอมทำได้ 1,563 ล้านดอลลาร์ ลดลง 13% และกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมทำได้ 515 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12% มีเพียงสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเท่านั้นที่ยังเติบโต 13% โดยทำได้ 7,382 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ทาง Estée Lauder แจ้งว่า นอกจากการปิดเมืองของประเทศต่างๆ การปิดกิจการของห้างสรรพสินค้า และการปิดสนามบินทำให้ร้านค้าปลอดภาษีไม่สามารถจำหน่ายได้ เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ยอดขายสินค้าของบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ในทิศทางที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม Estée Lauder เตรียมปรับกลยุทธ์ด้วยการเดินหน้าทำตลาดออนไลน์ เพื่อรักษายอดขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และเฝ้ารอให้เกิดการเปิดเมืองมากขึ้นเพื่อให้สินค้ากลุ่มเมคอัพกลับมาจำหน่ายได้ดีเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังควบคุมต้นทุนด้วยการปลดพนักงานกว่า 2,000 ตำแหน่งทั่วโลก และปิดจุดขายบางจุดเช่นกัน
สำหรับกลุ่ม Estée Lauder นอกจากแบรนด์ที่เหมือนกับชื่อของบริษัท ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่คุ้นชื่อเช่น Aveda, Bobbi Brown, Clinique, Dr.Jart+, La Mer และ Origins เป็นต้น โดยยอดขายในร้านค้าในจุดท่องเที่ยว เช่นร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน คิดเป็น 1 ใน 4 ของยอดขายบริษัท
สรุป
แบรนด์เครื่องสำอางต่างประสบปัญหาในช่วงนี้ เพราะบริษัทไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้เหมือนช่วงปกติ และหากวิกฤตนี้ยังไม่คลี่คลาย โอกาสที่สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจะเจอปัญหาก็มีความเป็นไปได้ ดังนั้นการดิ้นรนหาสินค้าใหม่ๆ ที่จำหน่ายได้เหมาะสมกับช่วงเวลานี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีไม่น้อย
อ้างอิง // Estée Lauder
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา