เชื่อว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเองย่อมเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของใครหลายๆ คนในยุคนี้ ทำให้เกิดธุรกิจ SME ขึ้นมากมายในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีการขายสินค้าบนโลกออนไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่มีการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง
จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่าปัจจุบันในประเทศไทยมีธุรกิจ SME มากกว่า 3 ล้านราย ยังไม่รวมพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อีกนับพัน นับหมื่นราย
ซึ่งปัจจัยสำคัญของการสร้างแบรนด์ในยุคนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “แพ็คเกจจิ้ง” สินค้า ถือว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อใช้ในการสร้างแบรนด์ เพราะแพ็คเกจจิ้งเสมือนเป็นหน้าตาที่ช่วยดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าการพิมพ์แพ็คเกจจิ้งก็เป็นต้นทุนขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการกลุ่ม SME เช่นกัน เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการพิมพ์ที่ไม่ได้เยอะมาก ดังนั้นเมื่อเข้าโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ก็ทำให้มีต้นทุนที่สูงเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้ได้มีโซลูชั่น Epson Label Printer เรียกว่าเป็น One Stop Printing Solutions ตอบโจทย์การใช้งานเรื่องการพิมพ์ฉลากในการทำแพ็คเกจจิ้งโดยเฉพาะ สามารถตอบโจทย์ธุรกิจ SME ได้เป็นอย่างดี
จุดเด่นของเครื่องพิมพ์นี้คือเป็นการพิมพ์แบบดิจิทัล หมดปัญหาเรื่องการขึ้นเพลท และไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนการพิมพ์ ที่แต่เดิมต้องเข้าโรงพิมพ์ขนาดใหญ่เท่านั้น และต้องมีการพิมพ์ในจำนวนเยอะๆ หลักหมื่นถึงหลักแสนชิ้นถึงจะคุ้มราคา ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการบานปลายเข้าไปใหญ่
Epson Label Printer ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ครั้งละจำนวนมาก แต่เป็น Made to order หรือ Customize แต่ละชิ้นงานได้ เช่นต้องการพิมพ์ฉลากติดแพ็คเกจจิ้งสบู่ในสูตรที่ต่างกัน ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการพิมพ์ระบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องการพิมพ์แบบ Customize นี้ได้ ทำให้ฉลากกลายเป็นต้นทุนทั้งของโรงพิมพ์และผู้ประกอบการ
ปลวัชร นาคะโยธิน ผู้จัดการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ระดับมืออาชีพ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันเทรนด์เครื่องพิมพ์ดิจิทัลได้ถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งพัฒนาให้มีความเร็วขึ้น รวมถึงการตอบโจทย์เรื่องจำนวนการพิมพ์ต่ำกว่าหมื่นชิ้นได้ ทำลายข้อจำกัดเรื่องจำนวนการพิมพ์และต้นทุนที่เคยมีมาในอดีต โซลูชั่นนี้เข้ามาเสริมทั้งกลุ่มโรงพิมพ์ที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการรองรับงานจำนวนไม่เยอะ เพราะปัจจุบันสื่อสิ่งพิมพ์ลดลง โรงพิมพ์ต้องหางานอย่างอื่นเพิ่มขึ้น รวมถึงตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจ SME ที่มีเพิ่มมากขึ้น ปกติกลุ่มนี้จะหา Out Source ในการผลิตแพ็คเกจจิ้ง แต่ตอนนี้สามารถซื้อเครื่องมาทำเองได้ ช่วยในเรื่องการประหยัดต้นทุนให้กับธุรกิจได้มากขึ้น”
จริงๆ แล้วกลุ่มโซลูชั่นเครื่องพิมพ์ฉลาก หรือ Label Printer มีมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไร แต่เอปสัน เริ่มมาโฟกัสในการทำตลาดกลุ่ม Label Printer จริงจังเมื่อ 2-3 ปีก่อน เพราะต้องการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้า SME ให้มากขึ้น
โดยที่ปัจจุบัน Epson Label Printer มีทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ Epson LabelWorks มี 8 รุ่น ราคาเริ่มต้น 1,000 – 10,000 บาท เหมาะสำหรับงานพิมพ์ฉลากที่ใช้ภายในบ้าน ออฟฟิศ หรือโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ฉลากติดแฟ้มเอกสาร จนกระทั่งสายเคเบิลในโรงงานอุตสาหกรรม ถัดมาคือ Epson ColorWorks มี 3 รุ่น ราคาเริ่มต้น 60,000 บาท เหมาะกับงานพิมพ์ฉลากในงานอุตสาหกรรมหรือบนบรรจุภัณฑ์ ที่มีปริมาณงานพิมพ์น้อย แต่หลากหลายแบบ เหมาะกับธุรกิจ SME หรือ OTOP และ Epson SurePress 2 รุ่น ราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท เหมาะกับงานบรรจุภัณฑ์หรือแพ็คเกจจิ้งจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกกลุ่มและรุ่นสินค้าให้เหมาะกับขนาดธุรกิจ ซึ่งรองรับตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปยังธุรกิจโรงพิมพ์ขนาดใหญ่
ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าของเอปสันส่วนใหญ่ 60% เป็นผู้บริโภคทั่วไป ซื้อใช้ในบ้าน และ 40% ลูกค้าองค์กร แต่ตลาด B2B มีขนาดใหญ่ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง เอปสันจึงเริ่มเข้ามาทำตลาด B2B มากขึ้นเช่นกัน เน้นการขายโซลูชั่นและการบริการมากขึ้น เพราะตลาด Home Use หรือซื้อใช้ในบ้านมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีการแข่งขันกันเรื่องราคา
ประเด็นสำคัญการที่เอปสันส่งเสริมธุรกิจ SME ทำให้มีส่วนผลักดันเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศด้วย ซึ่งในปัจจุบันได้เกิดผู้ประกอบการใหม่ ทั้ง SME หรือ OTOP จำนวนมาก ทั้งจากการกระตุ้นจากภาครัฐและสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ที่ผลิตสินค้าออกจำหน่ายเป็นจำนวนมาก โดยการขยายตัวของธุรกิจแพ็จเกจจิ้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะในไทยแต่รวมถึงในตลาด Southeast Asia อีกด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา