หลายปีที่ผ่านมาคำกล่าวที่ว่าเครื่องพิม์หรือปรินเตอร์จะลดบทบาทลงเพราะเราเข้าสู่โลกดิจิทัลกันมากขึ้น ดูจะไม่เป็นความจริง เพราะจนถึงทุกวันนี้การใช้งานพิมพ์ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ว่า ต้องใช้อย่างคุ้มค่า
ในแต่ละเดือนองค์กรมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง เครื่องเขียน กระดาษ หมึกพิมพ์ ดังนั้นทางออกคือ จะทำอย่างไรเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ และได้ประสิทธิภาพงานที่ดีขึ้นด้วย
เทคโนโลยีการพิมพ์ไร้ความร้อน (Heat-Free Technology) นวัตกรรมจาก Epson
การจะสร้างความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ในส่วนของการพิมพ์ Epson ซึ่งเป็นผู้นำด้านนี้มาโดยตลอด ได้นำเสนอเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ไม่ใช้ความร้อน หรือ Heat-Free Technology เพื่อช่วยตอบโจทย์ให้องค์กรประหยัดยิ่งกว่าเดิม
ตามปกติเครื่องพิมพ์เลเซอร์ต้องใช้ไฟฟ้าสร้างความร้อนในกระบวนการพิมพ์เพื่อฉีดน้ำหมึกออกไป แต่ด้วย Heat-Free Technology ของ Epson ที่ใช้แรงดันไฟฟ้าเพื่อเหนี่ยวนำและพ่นหมึกออกไปอย่างแม่นยำ
ดังนั้นประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับอย่างชัดเจนคือ
- พิมพ์งานได้รวดเร็ว คมชัด ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ต้องรอการวอร์มเครื่อง จะเปิดเครื่องใหม่ หรือสั่งงานจากโหมดพักเครื่อง ก็สามารถทำงานได้ทันที ดังนั้นได้งานเร็วขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
- ลดการใช้พลังงาน ประหยัดค่าไฟฟ้า 85% (เทียบกับเครื่องพิมเลเซอร์ในความเร็วเท่ากัน ภายใต้การทดสอบของ Epson) เพราะไม่ใช้ความร้อนในการพิมพ์ และยังได้งานพิมพ์คมชัดสม่ำเสมอ
- ลดชิ้นส่วนอะไหล่และวัสดุสิ้นเปลือง ลดฝุ่นหมึกเพราะหมึกเป็นแบบน้ำ อีกทั้งยังมีความจุสูงไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย จึงเป็นมิตรทั้งกับผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม
- การดูแลรักษาง่าย มีอายุการใช้งานยาวนาน ตัวเครื่องทนทาน ไม่สึกหรอง่ายเพราะไม่มีความร้อนจากการพิมพ์ จึงง่ายต่อการดูแลและประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
พัฒนาเทคโนโลยีมาเพื่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะ
มาเจาะลึกองค์ประกอบต่างๆ ของปรินเตอร์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจจาก Epson กันดีกว่า ด้วยชิ้นส่วนและขั้นตอนการทำงานที่ไม่ยุ่งยาก ทำให้ตัวเครื่องมีความทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน อีกทั้งยังมาพร้อม Heat-Free Technology ที่ใช้แรงดันไฟฟ้าในการพ่นหยดหมึกแทนการใช้ความร้อน ทำให้ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องที่เกิดจากแรงเสียดทานและความร้อนได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ด้วยชิ้นส่วนและขั้นตอนการทำงานที่น้อยกว่าผสานกับระบบหมึกความจุสูง ช่วยลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง ได้งานพิมพ์คุณภาพสูงในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยเสียค่าใช้จ่ายองค์กรอย่างคุ้มค่า
ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมถูกพูดถึงมากขึ้น องค์กรยุคใหม่หลายแห่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และด้วยเทคโนโลยีจากปรินเตอร์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจของ Epson ที่ช่วยตอบโจทย์ด้วยการใช้พลังงานน้อยลง และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง หรือเปลี่ยนอะไหล่บ่อยๆ ช่วยให้องค์กรทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายและยังตอบโจทย์ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมไปได้อีกทาง
ด้วยระบบซอฟต์แวร์และการรักษาความปลอดภัย เช่น Epson Print Admin และ Epson Device Admin ทำให้การพิมพ์ การสแกน หรือ ทำสำเนา สามารถทำได้ง่ายดายและปลอดภัยผ่านระบบ Server ที่จะอนุญาตให้ใช้งานได้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนไว้
นอกจากนี้ยังสามารถจัดการข้อมูล เชื่อมต่อรายชื่อพนักงาน และจำกัดการเข้าถึงของคอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี และด้วยระบบรองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานสากล การทำงานทุกอย่างจึงง่ายและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม องค์กรสามารถควบคุมปริมาณการพิมพ์ และดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและเอกสารได้ดียิ่งขึ้น
เหมาะกับทุกระดับองค์กรธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก หรือองค์กรใหญ่ระดับ Enterprise ก็สามารถเลือกปรินเตอร์ให้เหมาะกับงานและรูปแบบของธุรกิจได้ ด้วยเครื่องพิมพ์ที่มีให้เลือกหลากหลายรุ่นตามความเหมาะสมของการใช้งานตั้งแต่ พิมพ์งานอย่างเดียว หรือมาพร้อมฟังก์ชันสแกน, สำเนา, แฟกซ์ รองรับปริมาณงานตั้งแต่ 45,000-400,000 แผ่น/เดือน หรือแม้แต่ความเร็วในการพิมพ์ที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ เอปสันยังมีตัวช่วยการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานพิมพ์ให้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น ชุดเย็บกระดาษ การเจาะรู เข้าเล่ม รวมถึงการพิมพ์สมุดเล่มเล็ก (อุปกรณ์เสริม) ที่ทำให้การทำงานง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
สรุป
คงจะเห็นแล้วว่าสำหรับในองค์กรยุคใหม่ ปรินเตอร์หรือเครื่องพิมพ์ยังมีความสำคัญและจำเป็น แต่มากน้อยอาจแตกต่างกันไปตามรูปแบบและขนาดของธุรกิจ แต่ส่วนที่ไม่ควรมองข้ามคือการเลือกปรินเตอร์ที่ถูกต้องกับองค์กร เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานได้เป็นอย่างดี
และด้วยเครื่องพิมพ์จาก Epson ที่มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำงานได้เร็ว ไหลลื่น ไม่สะดุด แต่ประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังช่วยลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง จึงบำรุงรักษาง่าย ลดค่าใช้จ่าย ไปพร้อมๆ กับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดจึงเรียกว่า “คุ้มค่า” อย่างแท้จริง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา