บริษัทรถยนต์เก่าแก่อย่าง Volvo กล้าที่จะปรับตัวเองสู่ตลาดเครื่องยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ด้วยการประกาศว่ารถรุ่นใหม่ตั้งแต่ปี 2562 ทุกรุ่น จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ใต้ฝากระโปรง และไม่ทำตลาดเครื่องยนต์สันดาปเดี่ยวๆ ที่ใช้แค่น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงอีกต่อไป
เปลี่ยนตัวเอง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
Volvo เพิ่งออกแถลงการเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ว่า ระหว่างปี 2562-2564 จะไม่มีการทำตลาดรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป หรือมีน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะต้องการทำตลาดรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มระบบ (Fully Electric) และเครื่องยนต์ Hybrid ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า กับน้ำมัน
โดยที่แน่ๆ แบรนด์รถยนต์จากสวีเดนรายนี้จะทำตลาดรถยนต์ Fully Electric ทั้งหมด 5 รุ่น แบ่งเป็นอยู่ภายใต้แบรนด์ Volvo จำนวน 3 รุ่น และภายใต้แบรนด์ใหม่ Polestar ที่เน้นทำตลาดรถยนต์ประสิทธิภาพสูงอีก 2 รุ่น ซึ่งการปรับตัวครั้งนี้ ทำให้ Volvo กลายเป็นบริษัทรถยนต์เก่าแก่เจ้าแรกๆ ที่กล้าเปลี่ยนตัวเองจากทำเครื่องยนต์สันดาป มาเป็นไฟฟ้าทั้ง Line-Up
แต่หากมองในระยะสั้น Volvo ก็คงลำบากเล็กน้อย เพราะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้มีแค่จีน กับสหรัฐอเมริกาที่นิยมใช้กัน ส่วนในระยะยาวนั้นแทบจะเป็นเรื่องดี เช่นในกลุ่มประเทศยุโรปต่างมีแผนบังคับให้รถยนต์ห้ามปล่อยมลพิษ (Zero Emission) ทั้งเยอรมนีที่เริ่มบังคับเรื่องนี้ในปี 2573 และสวีเดนในปี 2588 เช่นกัน ทำให้มีความต้องการเพิ่มแน่นอน
ช่วยสยายปีกกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จากจีน
ทั้งนี้ Volvo ที่มีต้นกำเนิดจากสวีเดน แต่ปัจจุบันถูกกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จากจีน Geely ควบรวมกิจการ และเข้ามาถือหุ้นใหญ่อยู่ ดังนั้นการเดินหน้ากลยุทธ์รถยนต์ไฟฟ้าของ Volvo ก็น่าจะมีแรงสนับสนุนให้ยักษ์ใหญ่รถยนต์จากจีนรายนี้ขยับขึ้นเป็นค่ายรถยนต์ระดับเดียวกับ Volkswagen และ Toyota ได้ จากปัจุบันรั้งเบอร์ 7 ของผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกอยู่
อย่างไรก็ตามด้วย Tesla ยังครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ และเพิ่งออก Model 3 รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าขนาดเล็ก ราคาเพียง 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.2 ล้านบาท ถูกที่สุดของแบรนด์ Tesla ทำให้หาก Volvo ยังไม่ปรับโครงสร้างราคารถยนต์ เช่นเครื่องยนต์สันดาปอยู่ที่ 34,000-47,000 ดอลลาร์ ก็คงแข่งขันในตลาดนี้ได้ยาก
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคตของอุตสาหกรรมนี้ และรายใดที่ตัดสินใจเดินหน้าก่อนย่อมได้เปรียบ แม้ระยะแรกจะต้องเจ็บปวดเล็กน้อยกับเรื่องยอดขาย เพราะตัวเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงกว่าเครื่องยนต์สันดาปอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ตลาดก้าวข้ามจุดนี้ไปได้ โอกาสที่จะเห็น Zero Emission ก็มีสูง และมันอาจเร็วกว่าที่ใครๆ คิดไว้
อ้างอิง // Quartz
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา