จริงๆ แล้วแพลตฟอร์ม Ecommerce หรือการขายสินค้าทั่วไปบนโลกออนไลน์อาจไม่ต้องมีนวัตกรรมล้ำ หรือมาจาก Silicon Valley เท่านั้น เพราะถ้าล้ำไปก็อาจไม่สำเร็จ ขอแค่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคจริงๆ ก็พอแล้ว
จุดบอดทางความคิดแบบล้ำๆ
อย่างที่รู้จักกันดีว่า Startup ล้ำๆ มักมากจาก Silicon Valley กัน เพราะที่นั่นเป็นศูนย์รวมทางความคิดด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งผู้ก่อตั้งเหล่านี้ก็ทำผลิตภัณฑ์ หรือบริการเพื่อตอบโจทย์ตัวเอง ไม่ก็นักลงทุน ซึ่งถ้าเป็นบริการอื่นๆ ก็มักจะสำเร็จ แต่นั่นไม่ใช่กับ Ecommerce
โดยตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ Fab, One Kings Lane และ Juicero หรือเครื่อปั่นน้ำอัจฉริยะ เพราะจำนวนหนึ่งในนี้สามารถระดมทุนได้กว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ แต่สุดท้ายแล้วด้วยกลุ่มลูกค้าที่มันน้อยกว่าคาดไว้เยอะมาก ทำให้ตอบจบก็คือไม่สำเร็จ และตัวธุรกิจก็ต้องปิดตัวลงไป
ในทางกลับกันกลุ่ม Ecommerce ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ กลับเป็นกลุ่มที่นำความคิดด้านศิลป์มาด้วย พร้อมกับทำอะไรที่มันจับต้องได้จริงๆ ไม่ใช่เน้นนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว เช่น Dollar Shave Club ที่จำหน่ายใบมีดโกนแบบสมัครสมาชิกรายเดือน และ Chewy กับ Zulily ที่ทำบริการที่จับต้องได้เช่นกัน แถมเน้นที่ลูกค้าอเมริกันชน
ซึ่งต่างกับรายอื่นๆ ที่มองเป็นลูกค้าทั่วโลก ซึ่งบางครั้งมันก็กว้างจนเกินไป และทำให้ไม่สามารถโฟกัสอะไรได้ ล่าสุดก็มี Stitch Fix ที่มองรูปแบบเดียวกัน ผ่านการผสมผสานศาสตร์ และศิลป์ เพื่อสร้างบริการ Ecommerce ที่ขายสินค้าแฟชั่นต่างๆ แต่มีจุดเด่นคือให้ผู้ซื้อได้สิทธิ์ลองสินค้าก่อนได้ โดยคิดราคาเพียง 20 ดอลลาร์เป็น Styling Fee
และจากจุดเด่นนี้เอง ทำให้ตัวธุรกิจดังกล่าวก็เตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย เพื่อก้าวไปอีกขั้น และมีการคาดการณ์ค่ามูลค่าบริษัทจะอยู่ที่ 2,000-4,000 ล้านดอลลาร์ด้วย ซึ่งไปถึงขั้นนั้นได้ ก็เพราะการคิดเลือกเสื้อผ้าต่างๆ ให้ผู้ซื้อ 5 ชิ้นไปลองก่อน ถ้าชอบก็ซื้อต่อได้เลย
ดังนั้นการเป็นแค่นวัตกรรมคงไม่ได้ช่วยอะไร และการทำสินค้าโดยอ้างอิงถึงเรื่องความต้องการผู้บริโภคเป็นหลัก น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากกว่า เพราะมันช่วยให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง, เป็นที่พูดถึงเยอะ ที่สำคัญยังได้รับรายได้ที่เข้ามาจริงๆ ไม่ได้ขายเพียงนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว และไม่มีความยั่งยืนด้วย
อ้างอิง // Recode
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา