สีเดลต้า เตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนขยายธุรกิจสีให้แข็งแกร่งระดับภูมิภาค และตอกย้ำการเป็นสีแห่งนวัตกรรม ที่สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมมาตลอด
นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ brand inside จะได้พูดคุยกับ รณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT ซึ่งถือเป็น Generation ที่ 2 ของสีเดลต้า เพื่อเจาะลึกทิศทางของ DPAINT ในการเป็นสีแห่งนวัตกรรม และการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต หลังจากผ่านร้อนหนาวมากว่า 40 ปี
สีเดลต้า ความเชี่ยวชาญกว่า 40 ปีเพื่อสร้างนวัตกรรม
รณฤทธิ์ เล่าว่า การเป็น Generation ที่ 2 ได้เห็นและทำงานร่วมกับคุณพ่อ อาจณรงค์ ตั้งคารวคุณ มาโดยตลอด และยังร่วมกับน้องชาย อรรถพล ตั้งคารวคุณ ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่ CFO ทำให้กล้าพูดได้ว่า ถ้าเป็นเรื่องของ “สี” ความรู้ความเชี่ยวชาญไม่แพ้ใครแน่นอน และยิ่งได้ไปศึกษาเทคโนโลยีในต่างประเทศ เช่น เยอรมนี และญี่ปุ่น ยิ่งทำให้สีเดลต้า มีความโดดเด่นเรื่องของนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น
ย้อนกลับไปในอดีต สีเดลต้า เป็นธุรกิจกงสีภายในครอบครัว มีการจ้างผลิตจากโรงงานอื่นๆ ทำให้การสร้างสรรค์นวัตกรรมทำได้ไม่คล่องตัว เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความคิดที่จะตั้งโรงงาน และทำได้สำเร็จในปี 2542 มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง มีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ยิ่งทำให้เข้าใจสีมากขึ้นว่า สีคือเรื่องของนวัตกรรมอย่างแท้จริง
ถ้ามองผ่านๆ สีคือ สินค้า Commodity ไม่ว่าจะใช้สีแบรนด์ไหนก็ไม่แตกต่างกัน วัตถุประสงค์เดียวคือ ไว้ทาสี แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจสีเดลต้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่อยู่ในตลาดโครงการ ได้ขยายเข้าสู่ตลาดรีเทล จำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนวัตกรรม
“แต่เดิมความเข้าใจของช่างทาสีในการทาสีคือ เมื่อฉาบปูนแล้วต้องรอ 30 วัน เพื่อทารองพื้น 1 รอบ แล้วทาสีจริง 2 รอบ แต่สีเดลต้าได้ใช้นวัตกรรมพัฒนา Toptech เจ้าแห่งสีรองพื้น เพื่อลดระยะเวลาจาก 30 วันจนในที่สุดเมื่อฉาบปูนเสร็จ 3 วัน สามารถทารองพื้นได้ เท่ากับลดเวลาลง 10 เท่า สินค้าออกสู่ตลาดในปี 2545 และมียอดขายที่ดีมาก นี่คือความแตกต่างที่สีเดลต้าสร้างขึ้น”
การลดระยะเวลาลง 10 เท่า คือต้นทุนที่ลดลงอย่างมหาศาลโดยเฉพาะเรื่องเวลา ทำให้ช่างทาสีบริหารจัดการทีมงานได้ดีขึ้น เท่ากับว่าใน 1 งานลดต้นทุนแรงงานลงได้ และสามารถไปรับงานใหม่ได้เร็วขึ้น
การลงทุนต่อมาของสีเดลต้าคือ การลงทุนเครื่องผสมสี เพื่อช่วยร้านค้าในการสต็อกสีไว้ให้ลูกค้าเลือก การลดสต็อก คือการลดต้นทุนที่สำคัญของตัวแทนจำหน่าย ปัจจุบันสต็อกแค่แม่สีหลัก กับ สีขาวเท่านั้น เมื่อลูกค้าเลือกสีที่ต้องการก็สามารถผสมสีออกมาได้ทันที
เวลานี้ สีเดลต้า มีเครื่องผสมสีกว่า 300 เครื่องทั่วประเทศ จากจำนวนตัวแทนจำหน่ายกว่า 1,000 ราย เท่ากับว่ายังต้องลงทุนเครื่องผสมสีเพิ่มอีกเพื่อช่วยร้านค้าและขยายธุรกิจ ดังนั้นแผนการที่จะเห็นต่อไปภายในปี 2568 คือการเพิ่มเครื่องผสมสีอีกกว่า 440 เครื่อง เพื่อเป็นการขยายช่องทางในการจัดจำหน่ายที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้นเปรียบได้กับกลยุทธ์ของธนาคารในการเพิ่มตู้ ATM เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้การเพิ่มจำนวนของเครื่องผสมสี ยังช่วยลดจำนวนสต็อก รวมถึงจำนวน SKU ของผลิตภัณฑ์ บริหารต้นทุนในการผลิตและจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหมายถึงความสามารถในการแข่งขันของสีเดลต้าจะดีขึ้นและสะท้อนถึงความยั่งยืนต่อไปอีกด้วย
สำหรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ สีเดลต้าเตรียมการมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับการทำงาน พัฒนาบุคลากร พัฒนามาตรฐานทางบัญชี การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทำให้สีเดลต้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พนักงานกว่า 700-800 คนมีความมุ่งมั่นที่จะลุยไปข้างหน้าและเข้าใจตรงกันว่า ต้องดูแลลูกค้าทุกคนซึ่งรวมถึง นักลงทุน ที่เชื่อมั่นและนำเงินมาลงทุนกับสีเดลต้า
ภาพรวมอุตสาหกรรมสีมีแต่เติบโตขึ้น
รณฤทธิ์ บอกว่า ถ้ามองภาพรวมอุตสาหกรรมสี แม้ในช่วงโควิดก็ยังมีการเติบโต เพราะสีเป็นวัสดุใช้ซ้ำทุก 10 ปีต้องทาสีใหม่สำหรับอาคารทั่วไป และถ้าเป็นอาคารบริการ เช่น โรงแรม ยิ่งมีการทาสีใหม่บ่อยขึ้น โดยสัดส่วน 60-70% ของตลาดคือเรื่องของการรีโนเวทอยู่แล้ว
ยิ่งปัจจุบันสีมีความใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น มีความรู้ มี Know How ให้ศึกษาผ่านทางอินเทอร์เน็ต จะเห็นคนทั่วไปนิยมทาสีที่พักของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่า สี ไม่ใช่เรื่องของช่างทาสีหรือผู้รับเหมาเท่านั้น ดังนั้นนวัตกรรมของสี จึงเป็นทั้ง Functional และ Emotional ไปพร้อมกัน
เรื่องของ Functional คือการพัฒนาสีให้ดีขึ้นทั้งคุณภาพ ประสิทธิภาพ รวมถึงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ต้องไม่เป็นอันตราย ไม่มีกลิ่น ไม่มีแบคทีเรีย ทำความสะอาดง่าย และที่สำคัญต้องใช้งานง่ายด้วย
“สีเดลต้าพัฒนาการใช้สีรองพื้น ลดระยะเวลาเหลือ 3 วันมาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ลดการทาสีจริงจาก 2 รอบ เหลือ 1 รอบ ในมุมธุรกิจคือ สีเดลต้าขายสีได้น้อยลง แต่ผู้บริโภคได้ประโยชน์ทาสีรอบเดียว ช่างทาสีได้ประโยชน์คือ ทาได้เร็วขึ้น ค่าแรงก็ลดลง”
Emotional ใส่หัวใจ ใส่ความภูมิใจให้กับ “สี”
ส่วนของ Emotional มีความสำคัญมากขึ้นอย่างชัดเจน ต้องใส่ใจเรื่องของแฟชั่น การเลือกเฉดสีต่างๆ ซึ่ง สีเดลต้า ได้ทำการศึกษา Insight ของผู้บริโภคว่า การจะทาสีบ้านใหม่ มักจะมาพร้อมกับโอกาสพิเศษ หรือการเฉลิมฉลอง เช่น การต่อเติม การขยาย หรือการรีโนเวท ดังนั้น สีต้องเน้นความสวยงาม ทนทาน และสร้างความสุขให้สมาชิกในบ้าน
จุดนี้เองที่สีเดลต้า ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ Disney นำเวทย์มนต์จากคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนจาก Disney มาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์สีเดลต้า เมจิก ชิลด์ ดังนั้น สีจะไม่ใช่แค่สีทาบ้าน แต่ต้องสร้างความภูมิใจ สะท้อนถึงตัวตน ที่สำคัญมาพร้อมกับการเป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่มีกลิ่นสารระเหย สามารถฆ่าเชื้อได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ยังเพิ่มความ Emotional ด้วยการมอบสติกเกอร์ Limited Edition ลิขสิทธิ์แท้จากทาง Disney โดยการ Pre Order สำหรับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ให้อีกด้วย นี่คือกระบวนการที่ทำให้ผนังในบ้านมีแบรนด์เกิดขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่สีเดลต้าได้รับจากการเป็นพันธมิตรกับ Disney คือ การได้เรียนรู้ ได้พัฒนา และยังพิสูจน์ถึงมาตรฐานของสีเดลต้าได้เป็นอย่างดี เพราะ Disney เป็นแบรนด์ระดับโลก ที่มีมาตรการเข้มงวดอย่างมาก มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนว่าสีเดลต้าเป็นไปตาม International Labour Standards เช่น การใช้แรงงาน, การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์, การรักษาความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ฯลฯ นี่จึงเป็นการการันตีคุณภาพของสีเดลต้าได้เป็นอย่างดี
พัฒนาทุกช่องทางจำหน่ายเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
รณฤทธิ์ เล่าว่า การพัฒนาช่องทางจำหน่ายเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจสี ซึ่งสีเดลต้าให้ความสำคัญกับทุกส่วน ทั้งร้านค้าแบบเดิม Traditional ซึ่งเป็นช่องทางหลักของสีเดลต้า รวมถึง Modern Trade งานโครงการต่างๆ ร้านเฉพาะทางที่เป็น Specialist โดยมีแผนการที่จะขยายช่องทางการจำหน่าย ทั้งในกลุ่มร้านค้าแบบเดิม ร้านค้า Modern Trade และ ร้านค้าปลีกกึ่งสมัยใหม่ ให้มากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีช่องทางการจัดจำหน่ายรวมมากกว่า 1,000 ร้านค้าทั่วประเทศ
นอกจากนี้สีเดลต้ายังให้ความสำคัญกับคู่ค้าทุกๆ ภาคส่วนโดยให้คำแนะนำและความรู้ในการบริหารสินค้าคงคลังและการหมุนเวียนของสินค้า สนับสนุนด้านการส่งเสริมการขายและเทคนิคในการขาย รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ช่วยกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเป็นคู่ค้าที่เติบโตไปด้วยกันในระยะยาว และในส่วนของร้านค้า Traditional สีเดลต้าได้เข้าไปช่วยพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็น Modern Retail เพื่อให้สามารถทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนขึ้น เพราะรู้ว่าสีไม่สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ เพราะสีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หน้าจอที่แตกต่างกันก็ทำให้เห็นเฉดสีแตกต่างกัน ดังนั้นผู้บริโภคต้องมาเลือกสีเอง จะมีความแม่นยำกว่า ทั้งหมดนี้ส่งผลให้สีเดลต้าเป็นผู้ผลิตสีของคนไทยที่สามารถส่งมอบ “คุณค่าที่มากกว่า”
ปิดท้ายด้วยโอกาสการทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้ว การซื้อสีจากไทยไปใช้งานยังดีกว่าการเข้าไปลงทุน จึงเป็นโอกาสของสีเดลต้าที่จะเจาะตลาด
ดังนั้น อนาคตของสีเดลต้ายังไปได้อีกไกลแน่นอน และยังมีสีอีกหลายประเภทที่มีความต้องการสูง และสีเดลต้ายังไม่ได้เข้าไป เช่น สีในอุตสาหกรรมรถยนต์ สีในอุตสาหกรรมเรือ
จากแนวคิดอิคิไก สู่ปรัชญา “ให้คุณมากกว่า”
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า จากในอดีต สีเดลต้าเน้นงานโครงการเป็นหลัก จึงต้องเน้นเรื่องของราคาเพื่อให้แข่งขันได้ และมีคุณภาพตามที่กำหนด โดยใช้สโลแกนว่า “สีเดลต้าให้คุณมากกว่าความเป็นสี” แต่ต่อมาได้เรียนรู้ว่าราคาไม่ใช่คำตอบสุดท้ายจึงนำแนวคิดเรื่อง อิคิไก เข้ามาประยุกต์ใช้
รณฤทธิ์ บอกว่า เราต้องทำงานที่เรารัก ทำออกมาได้ดี มีรายได้ สามารถทำได้นาน และต้องดีต่อสังคมด้วย ดังนั้น สีเดลต้าต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อช่วยตัวแทนจำหน่ายให้รายได้ดีขึ้น ช่วยผู้บริโภคให้จ่ายน้อยลง จึงพัฒนาสโลแกนเหลือ “ให้คุณมากกว่า”
ที่สำคัญทุกคนในองค์กรต้องมองเห็นภาพเดียวกัน ทุกอย่างจึงจะสำเร็จ นอกจากนี้ยังได้ผสมผสานแนวคิด ALOVE เข้าไปอีก ประกอบด้วย
- Attitude – ทัศนคติ ต้องดีตั้งแต่ผู้บริหารถึงพนักงาน สำคัญที่สุดเลย
- Leadership – พัฒนาคนให้รู้เรื่องสี ให้ความรู้และแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคได้
- Organization – นำไปสู่การทำให้องค์กรแข็งแรง
- Volume – จากนั้นยอดขายก็จะตามมา
- Educate – ปิดท้ายต้องให้ข้อมูล ให้ความรู้ สร้างงาน สร้างสังคม
ทั้งหมดตรงกับแนวคิดของอิคิไก และจะเป็นการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับองค์กร
ยืนยัน นวัตกรรม ความหลากหลาย ความยั่งยืน คือจุดแข็งของสีเดลต้า
ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสีของประเทศไทย นับจากนี้ไป สีเดลต้าจะ เน้นการลงทุน สร้างโรงงานใหม่ เพิ่มเครื่องจักร ขยายกำลังคน เพื่อขยายตลาดและสร้างการเติบโต รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัยระดับโลก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น พร้อมด้วยการแสวงหาพันธมิตรใหม่ ๆ เสริมสร้างแบรนด์สู่ความเป็นสากลมากขึ้น แม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์โควิดกว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา สีเดลต้ายังสามารถสร้างการเติบโตได้ จากนี้ไปภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ดังนั้นปีหน้าจะเป็นแห่งการฟื้นฟู เป็นปีแห่งโอกาสที่การเติบโตจะมากขึ้น
ยิ่งการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ได้แสดงให้เห็นว่า สีเดลต้า ไม่ใช่ธุรกิจกงสีอีกแล้ว แต่เป็นองค์กรธุรกิจมืออาชีพ เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่พร้อมให้คนเก่งคนมีความสามารถเข้ามาร่วมงาน สนับสนุนความหลากหลาย เปิดกว้างทางความคิด เพื่อรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้น ยิ่งอุตสาหกรรมสีเป็นธุรกิจที่เติบโต และพัฒนาด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงยืนยันว่าธุรกิจของสีเดลต้าจะดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา