ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้พนักงานรัฐต้องเข้าออฟฟิศแบบเต็มเวลา
โลกป่วนไม่พอ คนในองค์กรอันดับต้นๆ ที่ต้องป่วนตามคือเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางต้องป่วนด้วย ล่าสุด ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศ นี่เป็นการเซ็นคำสั่งนับตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เขากลับมาทวงบัลลังก์ประธานาธิบดี
การเรียกพนักงานของรัฐบาลกลับเข้าทำงานในออฟฟิศของทรัมป์ ส่งผลให้นโยบายที่ทำให้คนทำงานแบบ remote work ได้ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ต้องจบลงด้วย แน่นอนว่า ยังมีคนทำงานระยะไกลได้บ้าง แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะทรัมป์ก็ยืนยันมาตั้งนานแล้วว่าเขาสนับสนุนให้คนกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ
ไม่ใช่แค่ทรัมป์แค่ยืนยัน แต่หัวหอกสำคัญอย่างอีลอน มัสก์ ที่จะเข้ามาดูแลองค์กรที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานรัฐอย่าง DOGE ก็ยืนยันว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐฯ ทำงานได้อย่างเต็มที่
นโยบายผลักดันให้คนเข้าทำงานในออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์ย่อมส่งผลกระทบต่อคนที่ชอบทำงานแบบ remote work หรือ work from home แน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการเลิกจ้างโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นแน่นอน มัสก์บอกว่า ถ้าพนักงานรัฐบาลกลางไม่อยากจะทำงานตามนโยบายที่ว่านี้ คนอเมริกันที่เสียภาษีก็ไม่ควรจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้กับคนที่ได้สิทธิพิเศษในการทำงานอยู่บ้าน
ข้อมูลจากสำนักงานบริหารและงบประมาณในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า พนักงานรัฐบาลกลางที่สามารถทำงานระยะไกลได้มีประมาณ 10% หรือราว 2.3 ล้านคนที่ทำงานในหน่วยงานรัฐกว่า 20 แห่ง
ตัวอย่างหน่วยงานรัฐและอัตราส่วนของคนทำงานระยะไกล เช่น กระทรวงศึกษาฯ มีพนักงานรวม 4,245 คน มีสัดส่วนในการทำงานแบบ remote work อยู่ที่ 55.1%, หน่วยงานบริหารและจัดการทั่วไป มีพนักงานรวม 12,795 คน มีสัดส่วนในการทำงานแบบ remote work 49.8%
หน่วยงานบริหารธุรกิจขนาดเล็ก มีพนักงาน 6,390 คน มีสัดส่วนในการทำงานแบบ remote work 48.5% สำนักงานบริหารจัดการบุคลากร มีพนักงาน 2,753 ราย มีสัดส่วนในการทำงาน remote work 40.5%
กระทรวงแรงงาน มีพนักงาน 24,692 คน มีสัดส่วนในการทำงานแบบ remote work 32.9% กระทรวงกลาโหม มีพนักงาน 783,081 คน มีสัดส่วนในการทำงาน remote work 7.9% เป็นต้น
มีการสอบถามความคิดเห็นเรื่องการไม่กลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ ก็พบว่า ใครที่ไม่อยากกลับทำงานในออฟฟิศก็มีแนวโน้มที่จะถูกปลดออก อย่างไรก็ดี คำสั่งดังกล่าวไม่ได้หมายรวมถึงบุคลากรทงทหาาร เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หรือตำแหน่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติหรือความปลอดภัยของสาธารณะ
ที่มา – Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา