โลกเดือดแน่นอน ในที่สุด Donald Trump ก็ฟื้นคืนชีพกลับอีกครั้ง! เรามาดูกันว่าในมิติเศรษฐกิจแล้ว โลกหลังจากนี้จะเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างไร
นโยบายหลักที่ Donald Trump ให้ความสำคัญ
โดนัลด์ ทรัมป์ ในวัย 78 ปี มีหลายสิ่งที่ Voter หลายคนกังวลถ้าเขาขึ้นเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง ต้องเจอผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจแน่นอน
นอกจากนั้นก็คือการไล่ปราบปรามผู้อพยพ และท่าทีแข็งกร้าวที่ทรัมป์จะมีต่อประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนที่เป็นอริกันตั้งแต่สมัยที่แล้ว ที่ดูแล้วน่าจะอาการหนักก็คือการที่ทรัมป์พยายามไล่กวดคัดกรองอุดมการณ์ผู้คนมากขึ้น
ล้างบางฐานอำนาจเก่า
การขึ้นมาของทรัมป์จะเริ่มต้นด้วยการล้างบางฐานอำนาจเก่าก่อน ด้วยการล้างคำสั่งฝ่ายบริหารหรือคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีก่อน (Executive Order) และแต่งตั้งข้าราชการขึ้นมาแทนที่นับพันคน จะมีการจ้างงานใหม่โดยต้องสอบผ่านอุดมการณ์ทางการเมืองตามที่ทรัมป์สร้างขึ้นมาด้วย
นโยบายพลังงาน
ทรัมป์จะขยายกำลังการผลิตมากขึ้นและจะทำให้ราคาลดลงเพื่อผู้บริโภคด้วย ความแตกต่างระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริสคือ แฮร์ริสจะมุ่งเน้นพลังงานสะอาดมากขึ้น แต่สำหรับทรัมป์จะยกเลิกกฎระเบียบที่ขัดขวางการขุดเจาะน้ำมันและการทำถ่านหิน แน่นอนว่าเขาจะทำนโยบายสวนกลับไบเดนทั้งหมดที่มีมา เพราะเขาไม่เชื่อในเรื่องพลังงานสะอาด
ทรัมป์เคยบอกว่า เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (climate change) คือเรื่องหลอกลวงเหลวไหลที่จีนคิดขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตาม จุดยืนของเขาก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขาเห็นว่ามนุษย์มีส่วนที่ทำให้โลกร้อนขึ้นบ้างนิดหน่อย
นอกจากเขาจะทำนโยบายสวนทางไบเดนแล้ว เขายังจะหาทางสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาสำนึกได้ว่า climate change กำลังเป็นปัญหา แต่เป็นเพราะเขาเห็นว่า Elon Musk เจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้า Tesla เป็นเพื่อนของเขา เขาก็เลยจะหาทางสนับสนุน Elon Musk เพราะ Musk สนับสนุนเขา และเขาจะต่อต้านทุกคนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (จีนหนีไม่พ้นเรื่องนี้แน่นอน)
นโยบายอพยพ ผู้อพยพก็คือคู่อริของทรัมป์ไม่แพ้จีน
ทรัมป์ยังเหมือนเดิม มีท่าทีแข็งกร้าวต่อผู้อพยพแบบเดือดๆ และนี่คือนโยบายหลักที่เขาขับเคลื่อน ทั้งกลับมาสร้างกำแพงกั้นประเทศสหรัฐฯ-เม็กซิโกนับตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ และยังเตรียมทำสงครามยาเสพติดกับเม็กซิโกด้วย
จัดให้เข้มๆ จริงๆ สำหรับผู้อพยพและชาวต่างชาติที่ไม่ชาวอเมริกัน ทรัมป์ยังเตรียมแบนการเดินทางจากประเทศที่มีประชากรเป็นชาวมุสลิมส่วนใหญ่ด้วย แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีการคัดกรองอุดมการณ์ขณะข้ามประเทศด้วย
ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเทอมแรก ทรัมป์มีความพยายามอย่างมากที่จะยุติสิทธิโดยกำเนิดในการได้เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา ต้องติดตามกันต่อว่าเขาจะยังทำมันอีกไหมในสมัยที่ 2
แถมทรัมป์เคยให้คำสัญญาถ้าได้รับเลือกตั้งอีกครั้งว่า เขาจะจ้างเจ้าหน้าที่ตำรวจชายแดนเพิ่มอีก 10,000 นาย แถมจะเพิ่มเงินเดือนให้ด้วยอีก 10% และจะเซ็นสัญญาเพิ่มโบนัสให้อีก 10,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.4 แสนบาท
สำหรับคนที่อพยพเข้าสหรัฐฯ ทรัมป์บอกว่าจะจัดหนักแน่นอน ใครก็ตามที่เข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย เขาจะจับกุมทันทีแถมด้วยการเนรเทศออกจากประเทศไป ทรัมป์บอกว่าจะทำให้ชาวอเมริกันที่เขาถือเสมือนเป็นครอบครัวของเขาเองนั้นรู้สึกปลอดภัย และการอพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายนี้ ทรัมป์สัญญาว่าจะมีการเนรเทศออกจากประเทศครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ชาติสหรัฐฯ แน่นอน!
สงครามการค้าลุกเป็นไฟ เรียกเก็บภาษีสูงขึ้นแน่นอน!
ทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิด 10%-20% และประเทศใดก็ตามที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทรัมป์จะโต้คืนด้วยการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น รับรองว่าการค้าระหว่างประเทศอย่างจีนกับสหรัฐฯ จะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทรถยนต์ไฟฟ้า เหล็ก และผลิตภัณฑ์ยาจากจีน
มีแนวโน้มสูงมากว่าทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้าจากจีนประมาณ 60% และอาจนำไปใช้กับสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าสูงมากถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทรัมป์บอกเลยว่าสงครามการค้าเป็นสิ่งที่ดี มันง่ายมากเลยที่เขาจะคว้าชัยชนะจากสงครามนี้
เรื่องภาษีนี่ ทรัมป์บอกเลยว่าถ้าได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งเขาจะลดภาษีเงินได้ให้กับรัฐบาลกลาง แน่นอนว่า รัฐจะสูญเสียรายได้ แต่ทรัมป์ให้สัญญาแล้ว เขาจะหาทางชดเชยรายได้ดังกล่าวด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในอัตราสูงแน่ๆ
ลดภาษีให้ชาวอเมริกันได้ แต่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะหารายได้ชดเชยจากไหน..ก็พูดๆ ไปก่อน
นอกจากนี้ ทรัมป์จะยุติการเก็บภาษีจากทริป เงินประกันสังคม และค่าล่วงเวลาด้วย แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าจะหาทางจัดการกับเรื่องนี้ยังไงต่อ เขายังบอกด้วยว่า จะทำให้ดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อรถยนต์ถูกลง โดยเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
สงครามยูเครน: ชัดเจนว่าจะสงบศึกให้ได้ทั้งสองฝ่าย
ทรัมป์เรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างเป็นทางการทันที เขาบอกว่าตอนนี้มันมีลักษณะเป็นสงครามตัวแทน (Proxy war) และมีความเสี่ยงจะเป็นสงครามโลกได้ ดังนั้นทรัมป์ยืนยันว่าต้องทำให้ชัดเจนว่าเป้าหมายของเราคือการยุติการสู้รบอย่างสมบูรณ์ทันที ทรัมป์บอกจะเป็นคนนำสันติภาพมาสู่โลก สงครามจะยุติโดยทันทีเมื่อเขาได้กลับมาเป็นประธานาธิบดี
ทรัมป์ยังเอ่ยปากชมปูตินอยู่บ่อยๆ ว่าปูตินนั้นฉลาดมาก แต่ก็บอกว่าตัวเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น Zelensky แห่งยูเครน หรือจะเป็น Putin แห่งรัสเซีย เขาเชียร์รัสเซียแต่เขาก็ซัพพอร์ตยูเครน และเขาก็อยากให้สงบศึกกัน
นโยบายต่างประเทศ: โดดเดี่ยวตัวเอง มากกว่าร่วมมือกับนานาชาติ
นักวิเคราะห์มองว่า จากเมื่อก่อนที่สหรัฐอเมริกาเป็นพหุนิยม นิยมความร่วมมือจากนานาประเทศ จากนี้ไปสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์จะเป็นการโดดเดี่ยวตัวเองจากโลกและหันมาฟาดฟันกับทุกประเทศที่สหรัฐฯ คิดว่าตัวเองเสียเปรียบจากความสัมพันธ์นั้น
ทรัมป์ยึดนโยบาย America First หรืออเมริกาต้องมาก่อน ดังนั้น เรื่องต่างประเทศอื่นๆ จะเป็นรองแน่นอน จากที่สหรัฐฯ เคยมีบทบาทเป็นฮีโร่ช่วยเหลือประเทศอื่นอยู่ตลอดเวลา อเมริกาสมัยที่ 2 ของทรัมป์ก็คือก้าวถอยหลังมา 1 สเต็ป ด้วยการให้ความสำคัญกับต่างประเทศลดลง ลดบทบาทตัวเองลง
ดังนั้น บทบาทนำที่สหรัฐฯ เคยมี จะน้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กอปรกับนิสัยส่วนตัวของทรัมป์ที่มักจะชื่นชมรัฐเผด็จการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเหนือ รัสเซีย เขามักจะส่งความรู้สึกอบอุ่นไปให้ผู้นำประเทศเหล่านี้ต่อนเนื่อง ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ เขาเป็นอริกับจีนแน่นอน แต่เขาเตรียมจะเก็บค่าคุ้มครองจากไต้หวันด้วย ถ้ากลัวจีนบุก ต้องจ่ายค่าคุ้มครองเพิ่ม
อาจกล่าวได้ว่า ฉากแรกที่ทรัมป์จะทำในบทบาทของผู้นำโลก เขาจะหันหลังให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในหลายๆ เวที ไม่ว่าจะเป็นเวทีกดดันอิหร่าน เวทีลดโลกร้อนจาก Paris climate agreement ไหนจะเวทีสาธารณสุขโลกอย่าง WHO
นอกจากนี้ก็คือเวทีความมั่นคงอย่าง NATO ที่ทรัมป์จะหันหลังให้ เขาจะทำเหมือนเดิมอย่างที่เขาเคยทำในวาระแรก เขาอ้างว่าหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรให้งบสนับสนุนน้อยไป งบที่ว่าก็คืองบที่ใครๆ มองว่าสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ใช้มันเป็น “ค่าคุ้มครอง” แก่ชาติพันธมิตร (จ่ายค่าคุ้มครองน้อย ก็ดูแลตัวเองไปละกัน)
อ้างอิง – Telegraph (1), (2), Reuters, Vox,
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา