ความสวยไม่ฟรี ธุรกิจบำรุงผิวอย่างหุ้น DDD เลยโตเอาๆ แต่ทำไมราคาหุ้นยังตกไปครึ่งนึง?

เรื่องความสวยผู้หญิงเราไม่ยอมแพ้ใคร (โดยเฉพาะตัวเอง) ดังนั้นนอกจากเครื่องสำอางที่เป็นอาวุธลับ เรายังต้องสร้างความสวยจากภายใน ผ่านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ และแน่นอนแบรนด์คุ้นตาเรื่องเมือกหอยทาก ก็ต้องเป็น SNAILWHITE ของบริษัท DDD หรือ บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ที่จู่ๆ ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเกือบครึ่งเป็นเพราะอะไรกันนะ

ภาพจาก shutterstock

DDD มองราคาหุ้นต่ำ IPO ไม่กระทบธุรกิจ หวังไตรมาส 4/61 ดึงรายได้เข้าเป้า

ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัทดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD บอกว่า ระยะนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวต่ำกว่าราคา IPO (การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) สาเหตุเพราะผู้ลงทุนคาดหวังว่าบริษัทฯเราจะเติบโตในระดับสูง ซึ่งที่ผ่านมาก็เติบโตเฉลี่ย 60% ทุกปี แต่ต้องยอมรับว่าช่วงนี้มีปัจจัยที่นักลงทุนอาจมองว่าบริษัทฯ ได้รับผลกระทบ เช่น ข่าวอาหารเสริมบริษัทอื่นที่ไม่ผ่านอย. ฯลฯ ทางเราจะมีการพิจารณาทบทวนเป้าหมายรายได้ปีนี้ในสิ้นไตรมาส 3

เราไม่กังวลที่ราคาหุ้นต่ำ IPO เพราะเราเน้นทำธุรกิจ ทำผลประกอบการให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยอมรับว่าไตรมาส 2 อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะตลาด แต่หวังว่าในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น และการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ จะทำให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตตามเป้าหมายที่ 30%”

ส่วนที่มีข่าวลือว่าเราทำออเดอร์ปลอม เราก็ไม่กังวลเพราะเรามียอดขายจริง ทั้งจาก Trade finnance และการสั่งซื้อในประเทศ

ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในไทย 7 หมื่นล้าน ฝั่งจีน 1 ล้านล้านบาท

โอกาสทางธุรกิจของเรามีเยอะมาก ส่วนของไทยตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวหน้า (facial moisturizer) ซึ่งเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ทำให้กลยุทธหลักของเราก็เน้นที่การบำรุงผิวหน้า จากตอนนี้มี facial moisturizer 8 อย่าง เน้นกลุ่มลูกค้า Premium-Mass แต่ภายใน 5 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 30 อย่าง ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย 

“ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งทางการตลาดใน facial moisturizer ของไทยอยู่ที่ 6% เป็นอันดับ 6″

ในขณะที่ตลาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของจีนก็ใหญ่มาก มูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท จำนวนคู่แข่งก็เยอะตามไปด้วย แต่ล่าสุดเราสินค้าเราได้รับมาตรฐานจากผู้กำกับของจีน ทำให้ส่งขายได้ในรูปแบบ B2B (Business to Business) เช่น ร้านขายยา ร้านค้าทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ในจีน จากเดิมที่ขายได้แต่แบบ B2C (Business to Customer) ที่ลูกค้าซื้อแล้วหิ้วกลับจีนได้จำนวนจำกัด

ปี 2017 เรามียอดขายจากจีน 500 ล้านบาท ปีนี้ก็มองว่าจะโตขึ้น 20% เพราะเราอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นในรูปแบบ B2B 1-2 เจ้า ซึ่งจะช่วยกระจายสินค้าได้ดีขึ้น คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะเห็นความชัดเจน

ภาพจาก shutterstock

หัวใจธุรกิจความสวย แบรนด์ติดตา สื่อสารให้เป็น

บริษัทเรามี แบรนด์หลักคือ SNAILWHITE ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (โฟมล้างหน้า ครีมอาบน้ำ ครีมบำรุงผิวหน้า ฯลฯ) ซึ่งเราไม่ใช้ OEM (จ้างคนอื่นผลิต) เพราะเน้นการคุมคุณภาพด้วยการผลิตในโรงงานของเรา ปัจจุบันต้นทุนของสินค้าอยู่ที่ 30% ของยอดขายทั้งหมด

ในด้านแบรนด์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เราจึงเน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่แค่ปีละ 2-3 อย่าง เช่น ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเราออก SNAILWHITE Gold  เราก็โหมใช้สื่อกับตัวเดียว ไตรมาส 2 ออกเป็นครีมอาบน้ำ ก็ประโคมสื่อเต็มที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกัน

และการสื่อสารต้องปรับตามพฤติกรรมผู้บริโภค เข่น กลุ่มลูกค้าหลักของเราคือ กลุ่มคนในเมือง คนทำงานมีกำลังซื้อ อายุ 25-35 ปี กลุ่มนี้ต้องใช้สื่อรูปแบบ outdoor เพราะเขาใช้เวลาในรถไม่ต่ำกว่า 2 ชม. และไม่ได้ดูทีวีมากนัก ซึ่งตอนนี้เรายังหันมาใช้สื่อในร้านค้ามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Boots Waston ฯลฯ ที่จะทำให้ลูกค้าอยากลองซื้อของมาใช้

ส่วนฐานลูกค้าคนจีน ที่ผ่านมาเราทำแบรนด์ผ่าน การติดป้ายโฆษณาตั้งแต่ขาเข้าที่เขาเหยียบลงในสนามบิน แต่เขายังไม่รู้ว่าดียังไง เราก็สื่อสารให้ตรงกว่าเดิมผ่าน Wifi ฟรีของสนามบิน ให้มีโฆษณาเราโผล่ขึ้นมาสัก 10-15 วินาที แล้วเรายังให้ไปทดลองใช้ตามจุดต่างๆ เช่น โรงแรมที่มีคนจีนพักอยู่เยอะ

“ถ้าเขาลองแล้วชอบ เราก็ต้องให้เขาซื้อง่าย เราจึงมีช่องทางการขายทั้งออนไลน์ และร้านค้าต่างๆ ที่สำคัญก่อนหน้านี้เราเคยส่งผลิตภัณฑ์ให้บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกงและสิงคโปร์ลองใช้ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชอบสไตล์ก้าวหน้าของคนฮ่องกง สิงคโปร์ พอมาไทยเขาก็ลองซื้อไปใช้”

แผนงานปี 61 แตกไลน์แบรนด์ใหม่ ตั้งเป้าหมายบริษัท TOP3 ในเอเชีย

ปิยวัชร บอกว่า ปีนี้ช่วงไตรมาส 2-3 เป็นจังหวะที่เราปรับและเตรียมตัวออกของใหม่ ซึ่งมีทั้งแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 4 อย่าง 2 อย่างแรกเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขยายกลุ่มลูกค้า Premium-Mass และอีก 2 อย่าง จะปรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เป็นแบบซองให้ลูกค้าที่ต้องการทดลองใช้ หรือรายได้จำกัดซื้อง่ายขึ้น

นอกจากนี้ยังคุยกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอีก 2-3 เจ้า เพื่อดึงเข้ามาเป็นแบรนด์ในเครือบริษัท หวังว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ ที่ผ่านมาเราก็มีแบรนด์ใหม่ๆ เช่น Oxe’Cure ที่เป็นเวชสำอาง เจาะกลุ่ม premium mass แต่สามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น เพราะไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย หรือช่วงอายุไหนก็อาจเป็นสิวได้ ที่สำคัญยังมาเพิ่มช่องทางจำหน่ายในร้านขายยา และโรงพยาบาลด้วย

“จุดเด่นของแต่ละแบรนด์จะต่างกัน อย่าง SNAILWHITE จะเน้นเรื่องความขาวกระจ่างใส Oxe’Cure ก็เวชสำอางรักษาสิว ซึ่งถ้าเรามีแบรนด์ใหม่ๆ ก็สร้างโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มอื่นๆ”

ภาพจาก shutterstock

ปีนี้ความเสี่ยงยังอยู่ที่เรื่องการท่องเที่ยว ว่านักท่องเที่ยวจีนจะลดลงจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตหรือไม่ รวมถึงดีลต่างๆที่บริษัทวางแผนไว้จะเสร็จสิ้นภายในปีนี้หรือเปล่า แต่รายได้ไตรมาส 2 ปีนี้น่าจะโตชะลอตัว ทำให้ต้องรอดูในไตรมาส 4 ว่าตลาดจะมีทิศทางเป็นอย่างไร

เป้าหมายของบริษัทจะเป็นบริษัทฯ Top 3 ของเอเชียในเรื่องผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 20  ปี ใน 5 ปีแรกจะเน้นเติบโตในประเทศไทย และขยายสู่อาเซียน (ปัจจุบันมีสินค้าขายอยู่ที่เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และจีน) ต่อยอดทั่วทั้งเอเชีย

สรุป

DDD แม้ว่าราคาหุ้นจะตกลง แต่มีมุมมองว่าจะไม่กระทบกับธุรกิจ เพราะยังมีรายได้เติบโตต่อเนื่องทั้งในด้านกำไรสุทธิและการขยายตลาดในต่างประเทศ ทว่าผลงาจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา