เรื่องความสวยผู้หญิงเราไม่ยอมแพ้ใคร (โดยเฉพาะตัวเอง) ดังนั้นนอกจากเครื่องสำอางที่เป็นอาวุธลับ เรายังต้องสร้างความสวยจากภายใน ผ่านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ และแน่นอนแบรนด์คุ้นตาเรื่องเมือกหอยทาก ก็ต้องเป็น SNAILWHITE ของบริษัท DDD หรือ บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ที่จู่ๆ ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเกือบครึ่งเป็นเพราะอะไรกันนะ
DDD มองราคาหุ้นต่ำ IPO ไม่กระทบธุรกิจ หวังไตรมาส 4/61 ดึงรายได้เข้าเป้า
ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัทดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD บอกว่า ระยะนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวต่ำกว่าราคา IPO (การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) สาเหตุเพราะผู้ลงทุนคาดหวังว่าบริษัทฯเราจะเติบโตในระดับสูง ซึ่งที่ผ่านมาก็เติบโตเฉลี่ย 60% ทุกปี แต่ต้องยอมรับว่าช่วงนี้มีปัจจัยที่นักลงทุนอาจมองว่าบริษัทฯ ได้รับผลกระทบ เช่น ข่าวอาหารเสริมบริษัทอื่นที่ไม่ผ่านอย. ฯลฯ ทางเราจะมีการพิจารณาทบทวนเป้าหมายรายได้ปีนี้ในสิ้นไตรมาส 3
“เราไม่กังวลที่ราคาหุ้นต่ำ IPO เพราะเราเน้นทำธุรกิจ ทำผลประกอบการให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยอมรับว่าไตรมาส 2 อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะตลาด แต่หวังว่าในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น และการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ จะทำให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตตามเป้าหมายที่ 30%”
ส่วนที่มีข่าวลือว่าเราทำออเดอร์ปลอม เราก็ไม่กังวลเพราะเรามียอดขายจริง ทั้งจาก Trade finnance และการสั่งซื้อในประเทศ
ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในไทย 7 หมื่นล้าน ฝั่งจีน 1 ล้านล้านบาท
โอกาสทางธุรกิจของเรามีเยอะมาก ส่วนของไทยตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวหน้า (facial moisturizer) ซึ่งเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ทำให้กลยุทธหลักของเราก็เน้นที่การบำรุงผิวหน้า จากตอนนี้มี facial moisturizer 8 อย่าง เน้นกลุ่มลูกค้า Premium-Mass แต่ภายใน 5 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 30 อย่าง ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
“ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งทางการตลาดใน facial moisturizer ของไทยอยู่ที่ 6% เป็นอันดับ 6″
ในขณะที่ตลาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของจีนก็ใหญ่มาก มูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท จำนวนคู่แข่งก็เยอะตามไปด้วย แต่ล่าสุดเราสินค้าเราได้รับมาตรฐานจากผู้กำกับของจีน ทำให้ส่งขายได้ในรูปแบบ B2B (Business to Business) เช่น ร้านขายยา ร้านค้าทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ในจีน จากเดิมที่ขายได้แต่แบบ B2C (Business to Customer) ที่ลูกค้าซื้อแล้วหิ้วกลับจีนได้จำนวนจำกัด
ปี 2017 เรามียอดขายจากจีน 500 ล้านบาท ปีนี้ก็มองว่าจะโตขึ้น 20% เพราะเราอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นในรูปแบบ B2B 1-2 เจ้า ซึ่งจะช่วยกระจายสินค้าได้ดีขึ้น คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะเห็นความชัดเจน
หัวใจธุรกิจความสวย แบรนด์ติดตา สื่อสารให้เป็น
บริษัทเรามี แบรนด์หลักคือ SNAILWHITE ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (โฟมล้างหน้า ครีมอาบน้ำ ครีมบำรุงผิวหน้า ฯลฯ) ซึ่งเราไม่ใช้ OEM (จ้างคนอื่นผลิต) เพราะเน้นการคุมคุณภาพด้วยการผลิตในโรงงานของเรา ปัจจุบันต้นทุนของสินค้าอยู่ที่ 30% ของยอดขายทั้งหมด
ในด้านแบรนด์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เราจึงเน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่แค่ปีละ 2-3 อย่าง เช่น ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเราออก SNAILWHITE Gold เราก็โหมใช้สื่อกับตัวเดียว ไตรมาส 2 ออกเป็นครีมอาบน้ำ ก็ประโคมสื่อเต็มที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกัน
และการสื่อสารต้องปรับตามพฤติกรรมผู้บริโภค เข่น กลุ่มลูกค้าหลักของเราคือ กลุ่มคนในเมือง คนทำงานมีกำลังซื้อ อายุ 25-35 ปี กลุ่มนี้ต้องใช้สื่อรูปแบบ outdoor เพราะเขาใช้เวลาในรถไม่ต่ำกว่า 2 ชม. และไม่ได้ดูทีวีมากนัก ซึ่งตอนนี้เรายังหันมาใช้สื่อในร้านค้ามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Boots Waston ฯลฯ ที่จะทำให้ลูกค้าอยากลองซื้อของมาใช้
ส่วนฐานลูกค้าคนจีน ที่ผ่านมาเราทำแบรนด์ผ่าน การติดป้ายโฆษณาตั้งแต่ขาเข้าที่เขาเหยียบลงในสนามบิน แต่เขายังไม่รู้ว่าดียังไง เราก็สื่อสารให้ตรงกว่าเดิมผ่าน Wifi ฟรีของสนามบิน ให้มีโฆษณาเราโผล่ขึ้นมาสัก 10-15 วินาที แล้วเรายังให้ไปทดลองใช้ตามจุดต่างๆ เช่น โรงแรมที่มีคนจีนพักอยู่เยอะ
“ถ้าเขาลองแล้วชอบ เราก็ต้องให้เขาซื้อง่าย เราจึงมีช่องทางการขายทั้งออนไลน์ และร้านค้าต่างๆ ที่สำคัญก่อนหน้านี้เราเคยส่งผลิตภัณฑ์ให้บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกงและสิงคโปร์ลองใช้ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชอบสไตล์ก้าวหน้าของคนฮ่องกง สิงคโปร์ พอมาไทยเขาก็ลองซื้อไปใช้”
แผนงานปี 61 แตกไลน์แบรนด์ใหม่ ตั้งเป้าหมายบริษัท TOP3 ในเอเชีย
ปิยวัชร บอกว่า ปีนี้ช่วงไตรมาส 2-3 เป็นจังหวะที่เราปรับและเตรียมตัวออกของใหม่ ซึ่งมีทั้งแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 4 อย่าง 2 อย่างแรกเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขยายกลุ่มลูกค้า Premium-Mass และอีก 2 อย่าง จะปรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เป็นแบบซองให้ลูกค้าที่ต้องการทดลองใช้ หรือรายได้จำกัดซื้อง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังคุยกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอีก 2-3 เจ้า เพื่อดึงเข้ามาเป็นแบรนด์ในเครือบริษัท หวังว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ ที่ผ่านมาเราก็มีแบรนด์ใหม่ๆ เช่น Oxe’Cure ที่เป็นเวชสำอาง เจาะกลุ่ม premium mass แต่สามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น เพราะไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย หรือช่วงอายุไหนก็อาจเป็นสิวได้ ที่สำคัญยังมาเพิ่มช่องทางจำหน่ายในร้านขายยา และโรงพยาบาลด้วย
“จุดเด่นของแต่ละแบรนด์จะต่างกัน อย่าง SNAILWHITE จะเน้นเรื่องความขาวกระจ่างใส Oxe’Cure ก็เวชสำอางรักษาสิว ซึ่งถ้าเรามีแบรนด์ใหม่ๆ ก็สร้างโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มอื่นๆ”
ปีนี้ความเสี่ยงยังอยู่ที่เรื่องการท่องเที่ยว ว่านักท่องเที่ยวจีนจะลดลงจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตหรือไม่ รวมถึงดีลต่างๆที่บริษัทวางแผนไว้จะเสร็จสิ้นภายในปีนี้หรือเปล่า แต่รายได้ไตรมาส 2 ปีนี้น่าจะโตชะลอตัว ทำให้ต้องรอดูในไตรมาส 4 ว่าตลาดจะมีทิศทางเป็นอย่างไร
เป้าหมายของบริษัทจะเป็นบริษัทฯ Top 3 ของเอเชียในเรื่องผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 20 ปี ใน 5 ปีแรกจะเน้นเติบโตในประเทศไทย และขยายสู่อาเซียน (ปัจจุบันมีสินค้าขายอยู่ที่เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และจีน) ต่อยอดทั่วทั้งเอเชีย
สรุป
DDD แม้ว่าราคาหุ้นจะตกลง แต่มีมุมมองว่าจะไม่กระทบกับธุรกิจ เพราะยังมีรายได้เติบโตต่อเนื่องทั้งในด้านกำไรสุทธิและการขยายตลาดในต่างประเทศ ทว่าผลงาจะออกมาเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา