Disney เปลี่ยนแผน เน้นสร้างภาพยนตร์ภาคต่อของเฟรนไชส์ใหญ่เพื่อการันตีรายได้จากฐานแฟนคลับที่มีอยู่แล้ว หลังการเติบโตของสตรีมมิ่งเริ่มชะลอตัวลง
Bob Iger ซีอีโอเผยว่า Disney จะมุ่งไปที่การสร้างภาพยนตร์ภาคต่อของเฟรนไชส์ดังอย่าง Marvel และ Frozen เนื่องจากภาพยนตร์จากเฟรนไชส์เหล่านี้ได้รับความนิยมและสามารถการันตีได้ว่าจะสามารถทำรายได้ให้กับบริษัทในยุคที่รายได้จากโรงภาพยนตร์ลดลง และสูญเสียรายได้จากที่บริการสตรีมมิ่ง Disney Plus Hotstar เติบโตลดลง
ในปีนี้ Disney เตรียมปล่อยภาพยนตร์ Little Mermaid ที่เป็นเวอร์ชันคนแสดง ภาพยนตร์จาก Indiana Jones และ Guardians of the Galaxy 3 และเตรียมปล่อยภาพยนตร์ Toy Story 5, Frozen 3 ภาคต่อของ Zootopia ที่ชื่อว่า Zootropolis ในภายหลัง
Iger ยังเปิดเผยว่าบริษัทจะชะลอการกระตุ้นบริการสตรีมมิ่งลง และจะเน้นไปที่การหารายได้จากโรงภาพยนตร์และโทรทัศน์ให้มากกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา แผนการของ Iger ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนเท่าไรนัก แม้ว่า Jessica Reif Ehrlich นักวิเคราะห์ของธนาคารแห่งสหรัฐอเมริกาจะมองว่าดิสนีย์ได้เปรียบคู่แข่งอยู่
ยอดขายตั๋วภาพยนตร์ยังต่ำกว่าปี 2019 ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ราว 1 ใน 3 ขณะที่แฟนคลับ Disney บางรายเริ่มมองว่าบริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้มากกว่าการทำภาพยนตร์จริง ๆ รวมทั้งมองว่า Disney พยายามสร้างหนังภาคต่อและภาคแยกของเฟรนไชส์ใหญ่ ๆ มากเกินไปและทำให้ผู้ชมตื่นเต้นน้อยลง ขณะที่ Disney เตรียมสร้างภาพยนตร์เรื่อง Snow White and the Seven Dwarfs ภาคใหม่ซึ่งนับเป็นเวอร์ชันที่ 9 แล้ว
นอกจากนี้ Disney ยังต้องต่อสู้กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเมื่อเริ่มทำภาพยนตร์ที่ครอบคลุมคนหลายกลุ่มและประเด็นทางสังคมมากขึ้น ทั้งนี้ Janet Wasko ศาสตรจารย์ด้านสื่อที่ University of Oregon และผู้เขียนบทภาพยนตร์ของ Disney เผยว่า กลยุทธ์การทำภาพยนตร์ภาคต่อนี้แม้จะมีความเสี่ยง แต่การสร้างภาพยนตร์ที่มีฐานแฟนคลับและผู้ติดตามอยู่แล้วก็สามารถประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้
ที่มา – BBC
อ่านเพิ่มเติม
- Disney ปลดพนักงานกว่า 7,000 คน หวังช่วยลดต้นทุนกิจการได้กว่า 5,500 ล้านดอลลาร์
- เผื่อจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น: Disney ออกนโยบายให้พนักงานทำงานออฟฟิศสัปดาห์ละ 4 วัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา