รู้มั้ยว่า ในไทยไม่ได้มีแค่ ‘กาแฟ’ หรือ ‘เครื่องใช้ไฟฟ้า’ เท่านั้นที่สมัคร ‘subscription’ ได้ เพราะตอนนี้ ‘ยาสีฟัน’ ก็ทำได้แล้ว คือส่งแปรงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ไหมขัดฟัน มาถึงบ้านแบบครบเซ็ท เหมือนยกมาทั้งร้านถึงหน้าบ้านเลย
ซึ่งคนที่นำหนึ่งก้าวในเรื่องนี้ คือ ‘เดนทิสเต้’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสัญชาติไทย ที่เปิดตัวโปรแกรม ‘subscription’ ตอบโจทย์ใครที่อยากดูแลสุขภาพช่องปาก แต่ก็ชอบลืมซื้อของใช้ประจำ หรือไม่มีเวลาชอปปิ้งซักเท่าไหร่
‘ดร.แสงสุข พิทยานุกุล’ กรรมการผู้จัดการ สยามเฮลท์ กรุ๊ป เล่าว่า ไอเดียของโปรแกรมนี้คือ อยากให้การดูแลฟันเป็นเรื่อง ‘ง่าย’ และ ‘ต่อเนื่อง’ โดยเฉพาะคนที่ยุ่งๆ ไม่มีเวลาไปซื้อยาสีฟัน แปรงสีฟัน หรือลืมใช้ไหมขัดฟันอยู่บ่อยๆ เดี๋ยวนี้แค่ ‘subscribe’ ก็มีของส่งถึงบ้าน
สำหรับแพ็กเกจ subscription มีให้เลือกทั้งหมด 3 ตัวเลือก โดยจะส่งสินค้าให้ทุกๆ ไตรมาส ดังนี้:
- Basic: 999 บาทต่อปี แปรงสีฟัน-ยาสีฟัน-สเปรย์ดับกลิ่นปาก (ส่วนลดสูงสุด 10%)
- Advanced: 1,599 บาทต่อปี แปรงสีฟัน-ยาสีฟัน-สเปรย์ดับกลิ่นปาก-ไหมขัดฟัน (ส่วนลดสูงสุด 25%)
- Elite: 1,999 บาทต่อปี แปรงสีฟัน-ยาสีฟัน-สเปรย์ดับกลิ่นปาก-ไหมขัดฟัน-น้ำยาบ้วนปาก มีทีมดูแลเฉพาะทุกวัน 24 ชั่วโมง (ส่วนลดสูงสุด 50%)
‘ดร.แสงสุข’ อธิบายว่า โปรแกรม subscription เป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่แบรนด์อยากลองทำอะไรใหม่ๆ และต้องการเพิ่มฐาน ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ห่วงภาพลักษณ์ช่องปาก ต้องขาวสะอาด มีกลิ่นหอม และ ‘กลุ่มลูกค้าเดิม’ ที่ไม่ค่อยซื้อสินค้าเดนทิสเต้แบบครบเซ็ท เพราะกังวลเรื่องราคา
โดยตั้งเป้าให้ภายใน 3 ปี มีสมาชิกประมาณปีละ 1 ล้านคน หรือ 1% ของประชากรไทย ซึ่ง ‘ดร. แสงสุข’ มองว่าจริงๆ แค่ 0.01% ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว ถ้าทำได้ยิ่งเร็ว ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อแบรนด์
‘เดนทิสเต้’ ยังยืนหนึ่งในตลาดพรีเมียม
‘ดร.แสงสุข’ เล่าต่อว่า มูลค่าตลาดยาสีฟันพรีเมียมในไทย ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท และยังโตต่อเนื่องปีละ 6% ซึ่งคนไทยใช้แปรงสีฟันกันปีละกว่า 150 ล้านด้าม เพราะคนไทยใส่ใจเรื่องสุขภาพช่องปากมากขึ้นเรื่อยๆ
โดย ‘เดนทิสเต้’ ขึ้นแท่น ‘เบอร์หนึ่ง’ ด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 10% และยังเป็นแบรนด์ที่มียอดขายเติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มพรีเมียม ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2565 จนถึง 2568 และโตเกิน 20% ทุกปีด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยดูแลสุขภาพช่องปาก และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
ด้าน ‘ศิวกร พิทยานุกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ สยามเฮลท์ กรุ๊ป บอกว่า คนสมัยนี้ไม่ใช่แค่แปรงฟันให้ครบวันละสองรอบแล้วจบ แต่ต้องการของที่ทำได้มากกว่ายาสีฟันทั่วไป เห็นได้จาก 5 ความต้องการของผู้บริโภคไทยและทั่วโลกดังนี้:
- แก้ปัญหากลิ่นปาก
- แก้ปัญหาโรคเหงือก โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป
- อยากฟันขาว
- ลดอาการเสียวฟัน
- แก้อาการฟันผุ ที่คนไทยพบมากถึง 96%
แบรนด์ไทย ต้องไประดับโลก
‘ดร.แสงสุข’ ย้ำว่า เดนทิสเต้ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์ยาสีฟันพรีเมียมในไทยเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าขยายสู่การเป็นผู้นำระดับเอเชีย และตอนนี้ก็ทำตลาดไปแล้วใน 27 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะ ‘เอเชีย’ ที่ตีตลาดได้ครอบคลุมแล้ว
เป้าหมายต่อไปคือ ‘ตะวันออกกลาง’ เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และต้องการใช้ของที่มีคุณภาพดี ส่วน ‘ยุโรป’ กำลังทยอยเข้าไป
ขณะที่ ‘สหรัฐอเมริกา’ ก็เริ่มเจาะเข้าไปแล้ว ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก แต่ก็แข่งขันสูงและซับซ้อน ต้องเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าที่ใช่ ถึงจะอยู่รอด และล่าสุดวางแผนบุก ‘ลาตินอเมริกา’ ด้วย เพราะแม้จะทำการตลาดยาก แต่พฤติกรรมผู้บริโภคใกล้เคียงคนไทยมาก
สิ่งที่น่าสนใจคือ ยอดขายต่างประเทศของเดนทิสเต้โตแซงในไทยไปแล้ว ‘ดร.แสงสุข’ บอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขยายตลาดนอกประเทศทำได้ง่าย โตเร็ว แต่ก็ต้องบริหารให้โตแบบไม่ขาดทุนด้วย
อีกสาเหตุคือ นักท่องเที่ยวมาไทยน้อยลง ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวส่วนมาก โดยเฉพาะจีน เวียดนาม สิงคโปร์ นิยมซื้อยาสีฟันเดนทิสเต้จากไทยหิ้วกลับบ้าน เพราะราคาในไทยถูกกว่าต่างประเทศ เช่น ‘เกาหลีใต้’ ขายหลอดละ 350 บาท และ ‘ญี่ปุ่น’ 450 บาท เทียบกับ ‘ไทย’ ที่ราคาประมาณหลอดละ 200 บาท
อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง กลับทำให้ยอดขายในต่างประเทศโตเพิ่มขึ้น เพราะหลายคนยอมซื้อยาสีฟันเดนทิสเต้ในประเทศตัวเอง แม้ราคาจะแพงกว่าก็ตาม
ทั้งนี้ ภาพรวม ‘สยามเฮลท์ กรุ๊ป’ บริษัทแม่ยังรักษารายได้ในระดับ 3,000–4,000 ล้านบาทได้สม่ำเสมอ แม้เศรษฐกิจในปีนี้ไม่สู้ดีนัก โดยปีนี้แบรนด์ในเครืออย่าง ‘สมูทอี’ โตชัดเจน ส่วนเดนทิสเต้ก็ยังคงโตต่อเนื่องในระดับสองหลัก (double digit)
- DENTISTE’ x LISA ชู Confident Smile ของลิซ่า เจาะกลุ่ม Gen Z ตอกหมุดผู้นำยาสีฟันพรีเมียมเบอร์หนึ่งในไทย
- สมูทอี หวังรายได้ปีนี้ 1,000 ล้านบาท อัดงบ 200 ล้านบาท เป็นมากกว่าโฟมล้างหน้า ครีมลบรอยแผลเป็น
ที่มา: งานแถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจของเดนทิสเต้ในครึ่งปีหลัง 2568
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา