หรือเทรนด์ความงามจะตก! Snail White (DDD) รายได้หดครั้งแรกในรอบ 6 ปี

ดู เดย์ดรีม (DDD) เจ้าของแบรนด์ Snail White เจอศึกหนักหนักรอบด้าน ทั้งนักท่องเที่ยวลดลง ค่าเงินหยวนอ่อน ปิดตลาดค้าส่ง ฉุดรายได้ลง 25% ปรับแผนระยะยาวโฟกัสร้านชำ เป้ารายได้ต้องโต 15%

ปาดเหงื่อหนัก! ปัจจัยลบรอบด้าน

จากคำที่บอกว่าตลาดความสวยความงามเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีการเติบโตดีตลอดทุกปีดูท่าว่าจะเริ่มส่อแววลดลงเข้าแล้ว เพราะในปี 2018 ตลาดสกินแคร์มีมูลค่า 70,000 ล้านบาท เติบโตเพียงแค่ 4-5% จากเดิมที่มีการเติบโต 8-10% ตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านา ปัจจัยเกิดจากทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

นอกจากตลาดที่ซบเซาแล้วดูเหมือนว่าปี 2018 จะเป็นปีที่ไม่ค่อยสู้ดีมากนักสำหรับดู เดย์ดรีม (DDD)” หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของเจ้าของแบรนด์ Snail White ที่ทำตลาดมา 5-6 ปี ถึงกับบอกว่าเป็นปีที่เหนื่อยที่สุด รายได้ลดลงเป็นปีแรกถึง 25%

ปัจจัยที่กระทบดู เดย์ดรีมที่ทำให้มีรายได้ลดลงมีรอบด้านเลยทีเดียว เพราะในปี 2018 มีปัญหาเรื่องเมจิคสกินส่งผลต่อตลาดสกินแคร์ในวงกว้าง มีการปิดตลาดค้าส่งแห่งใหญ่ๆ รวมถึงปัญหาสำคัญก็คือนักท่องเที่ยวลดลง เพราะตลาดสำคัญของดู เดย์ดรีมคือนักท่องเที่ยวชาวจีน ในปีที่แล้วมีข่าวด้านลบเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทย จึงกระทบในเรื่องการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก

สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ดรีม จำกัด (มหาชน) บอกว่า

ปี 2018 มีรายได้ที่ไม่ได้ตามเป้า เพราะมีปัจจัยลบรอบตัว มีการกำหนดแผนระยะยาว 5 ปีในการแก้ปัญหา ต้องกลับมาโฟกัสที่ตลาดประเทศไทยเพื่อลดความเสี่ยงจากเรื่องนักท่องเที่ยว มองว่าต้องบุกตลาดร้านโชห่วย หรือ Traditional Trade มากขึ้น จากเดิมที่ทำอยู่มีสัดส่วนน้อยมาก ปีนี้จะต้องกลับมาโต 15% ให้ได้

ปรับแผนโฟกัสตลาด Traditional Trade

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อรายได้ลดฮวบอย่างหนัก ดู เดย์ดรีมจึงต้องกลับมาปรับกลยุทธ์ใหม่ เพราะจากเดิมที่เน้นตลาดนักท่องเที่ยวก็ดูจะมีความเสี่ยง แผนระยะยาวใน 5 ปีจึงต้องกลับมาโฟกัสที่ตลาดในประเทศ เน้นตลาด Traditional Trade หรือร้านโชห่วย ร้านขายของชำต่างๆ ที่เป็นตลาดใหญ่ของการจำหน่ายสินค้า โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2023 จะต้องขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของแบรนด์สกินแคร์ในไทยให้ได้ จากปัจจุบันอยู่อันดับ 6

ด้วยการวางจุดยืนของสินค้า Snail White เป็นเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมแมส จึงได้บุกตลาด Modern Trade ก่อน เพราะมองว่าเป็นตลาดที่ใหญ่กว่า แต่ในปีนี้ได้ค้นพบว่าถ้าอยากโตในตลาด ต้องบุกตลาด Traditional Trade ตอนนี้มีการกระจายสินค้าได้เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น หรือประมาณ 4,000 ร้านค้าจากทั่วประเทศ

มองว่าถ้าอยากเติบโตต้องคุมตลาด Traditional Trade ให้ได้ ปกติเราเน้นตลาด Modern Trade มาตลอด ไม่ได้ให้ความสำคัญกับร้านรายย่อย เพราะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับใน Modern Trade พอรูปแบบสินค้าดูอินเตอร์ แพ็คเกจจิ้งเป็นภาษาอังกฤษ มีการสื่อสารที่ไม่ดีพอ เมื่อดูแบรนด์ใหญ่ในตลาดเขามีสื่อที่จุดขายที่สื่อสารได้ดี บอกได้ว่าใช้แล้วขาว ใช้แล้วเด้ง เป็นบทเรียนที่ต้องเอามาปรับใช้

ในช่องทาง Traditional Trade มีผู้เล่นรายใหญ่คือกานิเยต์ มีส่วนแบ่งการตลาด 28% มีการกระจายสินค้าในอัตรา 72% หรือราวๆ 300,000 ร้านค้า ในขณะที่ Snail White มีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางนี้เพียงแค่ 1% มีส่วนแบ่ง และมีการกระจายสินค้าได้เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น มีการตั้งเป้ากระจายสินค้าให้ได้ 30% และมีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางนี้ 5% ในปี 2023 หรือมีจำนวน 100,000 ร้านค้า

เป้าโต 15% ให้ได้ในปีนี้

ภาพรวมรายได้ของดู เดย์ดรีมในปี 2018 จำนวน 1,250 ล้านบาท ลดลง 25% แบ่งเป้นรายได้ในประเทศ 79% และรายได้จากต่างประเทศ 21% กำไรลดลง 14.2% เหลือ 184 ล้านบาท จาก 351 ล้านบาท

ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 1,450 ล้านบาท หรือเติบโต 15% มาจากการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ สินค้าใหม่ การทำตลาด Traditional Trade และการทำตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าในปี 2023 มีรายได้ 3,000 ล้านบาท

สรุป

ถือว่าเป็นการบ้านที่ดู เดย์ดรีมต้องปรับอย่างหนัก เพราะเจอปัญหารุมล้อมในปีที่ผ่านมา แม้แต่ตลาดความงามที่หลายคนมองว่าเติบโตตลอดทุกปียังมีสะดุด การเบนเข็มมาโฟกัสตลาดในประเทศก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวได้ แต่ก็ต้องทำการตลาดอย่างหนัก เพราะในแต่ละพื้นที่มีพฤติกรรมที่ต่างกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา