ไทยเป็นแหล่งผลิตน้ำนมดิบจากวัวที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ผ่านกำลังผลิตกว่า 1.2 ล้านตัน/ปี แต่กลับบริโภคเพียง 18 ลิตร/คน/ปี น้อยกว่าเพื่อนบ้านบางประเทศเสียอีก ซึ่ง “โพร์โมสต์” มองว่าอาจมาจากการสื่อสาร และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
เด็กเกิดใหม่น้อย-ผู้ใหญ่ดื่มกาแฟแทน
อย่างที่รู้กันว่าอัตราการเกิดของประชากรในประเทศไทยนั้นลดลงทุกปี จนเด็กเกิดใหม่ที่เป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักของน้ำนมรูปแบบต่างๆ ก็ลดลงเช่นกัน และเมื่อมีผู้ดื่มน้อยก็คงไม่แปลกที่ภาพรวมตลาดนมพร้อมดื่มจะเติบโตช้า เช่นในปี 2559 มีมูลค่าราว 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 เพียง 2-3% และปีนี้ก็จะเติบโตในอัตราเดียวกันอีกด้วย
โอฬาร โชว์วิววัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บมจ.ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) เจ้าของแบรนด์โฟร์โมสต์ เล่าให้ฟังว่า การเปลี่ยนความคิดให้ผู้ใหญ่หันมาดื่มนมนั้นค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่ยังกังวลเรื่องดื่มแล้วอ้วน หรือดื่มอย่างอื่นน่าจะดีกว่า โดยเฉพาะกาแฟ นั่นทำให้ตลาดนมพร้อมดื่มของประเทศไทยสูญเสียกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว
“ไม่ใช่แค่เด็กที่เกิดน้อย ทำให้กลุ่มเป้าหมายลดลง ยังมีปัญหาเรื่องการสื่อสารให้ผู้ใหญ่กลับมาดื่มนมเหมือนตอนเด็กอีกครั้ง จนตลาดนี้เติบโตเล็กน้อย หรือบางช่วงแทบจะไม่แตกต่างหากเทียบเวลาเดียวกันกับปีก่อน และตัวเลขคนไทยที่ดื่มนม 18 ลิตร/คน/ปี อย่างคิดว่าเยอะ เพราะเวียดนามยังเยอะกว่าเรา และกลุ่มยุโรป กับญี่ปุ่นที่พัฒนาความสูงเร็วๆ ก็ดื่มกันกว่า 100 ลิตร/คน/ปี”
เคราะห์ซ้ำปี 2568 เจอนมต่างชาติตีตลาด
ขณะเดียวกันถึงไทยจะผลิตน้ำนมได้มากที่สุดในอาเซียน แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศอยู่ดี จนต้องนำเข้านมจากต่างประเทศเข้ามากว่า 2.3 แสนตัน ซึ่งช่วงนี้อาจมีคู่แข่งแค่กลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการค้าเสรีในสินค้านมพร้อมดื่ม โดยเฉพาะเวียดนามที่ผลิตได้ปีละ 1.17 ล้านตัน รองจากประเทศไทยเล็กน้อยเป็นคู่ค้าหลัก
และหากเกษตรกรไม่มีการปรับตัว เช่นเลี้ยงโคนมให้ได้ผลผลิตให้มีตัวเชื้อเสียน้อยลง และเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น ในปี 2568 ไทยจะเปิดเสรีสินค้านมพร้อมดื่มกับประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดดุลเรื่องสินค้าน้ำนมพร้อมดื่มมากขึ้นไปอีก หลังจากปี 2559 มีจำนวนส่งออกเพียง 1.6 แสนตัน จนเกษตรกรโคนมอาจทำธุรกิจได้ยากขึ้น
ยังโตเหนือตลาดได้ แต่ไม่ง่าย
สำหรับ “โฟร์โมสต์” ในปี 2559 มียอดขายเติบโต 5% สูงกว่าตลาด และปีนี้ก็ตั้งเป้าไว้ 5% เช่นเดิม โดยเตรียมลงทุน 15 ล้านบาท เพื่อปูพรมความรู้ให้กับเกษตรกรโคนมในระบบกว่า 4,000 ฟาร์ม หรือ 25% ในประเทศไทย และมีวัวกว่า 73,000 ตัว เช่นรีดนมได้ 18 ลิตร/ตัว/วัน จาก 13 ลิตร ที่สำคัญตัวนมพร้อมดื่มเป็นสินค้าควบคุมราคา ดังนั้นการแข่งขันในตลาดจึงต้องสร้างจุดต่างให้ผู้บริโภครับรู้ซึ่งไม่ง่าย
สรุป
ปัจจุบันนมพร้อมดื่มที่ขายดีในประเทศไทยนมยูเอชที เพราะเก็บได้นาน และดื่มได้สะดวกกว่าประเภทอื่นๆ แต่ด้วยคุณประโยชน์อาจน้อยกว่าพาสเจอร์ไรซ์ ทำให้คนไทยรับสารอาหารไม่เต็มที่ก็ได้ ดังนั้นการสื่อสารให้ผู้บริโภคดื่มนมอย่างมีประโยชน์ก็จำเป็นด้วย ไม่ใช่แค่ชักชวนให้มาดื่มนมกัน
ทั้งนี้ทาง “โฟร์โมสต์” ปัจจุบันมีส่วนแบ่งในตลาดนมยูเอชที 33% เป็นอันดับที่ 3 ของตลาด และมีรายได้จากการส่งออก 20% ของทั้งหมด โดยการส่งออกนั้นจะมีทั้งส่งนมพร้อมดื่มไปให้กับแบรนด์ในเครือ “ฟรีสแลนด์คัมพิน่า” ในประเทศต่างๆ และส่งให้คู่ค้ารายอื่นๆ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา