CPALL กำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 18,482 ล้านบาท โต 39.9%, 7-Eleven ลูกค้าเข้าเฉลี่ย 965 คนต่อวัน

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยผลประกอบการในปี 2566 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 921,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรสุทธิ 18,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3%YoY เนื่องจากการดำเนินงานโดยรวมปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งธุรกิจโลตัสส์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ รายได้จากการขายสินค้าและบริการ อยู่ที่ 895,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0%YoY จากการที่บริษัทฯ ได้ ปรับกลยุทธ์ด้านสินค้าและบริการ รวมถึงกลยุทธ์ O2O ของแต่ละหน่วยธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตใหม่ ทั้งนี้รายได้รวมในปีนี้ ในทุกกลุ่มธุรกิจปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ การบริโภคภายในประเทศเป็นหลักรวมถึงการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้นในปี 2566 

CP All

ในปี 2566 CPALL มีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการเท่ากับ 196,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3%YoY เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค (แม็คโคร-โลตัสส์) ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงบการเงินรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 21.9% จากในปี 2565 ที่ 21.5% ขณะที่ ต้นทุนในการจัดจำหน่าย ค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 179,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8%YoY จากปีก่อน ตามค่าไฟที่เพิ่มขึ้น เงินเดือนและสวัสดิการ จากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และค่าบริหารร้านสาขา

นอกจากนี้ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งธุรกิจแม็คโคร และโลตัสส์ มีการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน รายได้รวมก่อนหักรายการระหว่างกัน แบ่งสัดส่วนตาม 3 ธุรกิจหลัก มีดังนี้ 

  1. รายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ มีสัดส่วน 44%
    (ขณะที่กำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกันมีสัดส่วนที่ 51%)
  2. รายได้จากธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค 50%
    (ขณะที่กำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกันมีสัดส่วนที่ 34%)
  3. รายได้จากธุรกิจ อื่นๆ ในประเทศไทยมีสัดส่วน 6%
    (ขณะที่กำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกันมีสัดส่วนที่ 15%)

กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ พบว่า ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขา 7-Eleven ทั่วประเทศรวม 14,545 สาขา แบ่งเป็นร้านบริษัท 7,336 สาขา (คิดเป็น 50%) เพิ่มขึ้น 497 สาขา ร้าน Store Business Partner (SBP) อยู่ที่ 6,335 สาขา (คิดเป็น 44%) เพิ่มขึ้น 191 สาขา และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 874 สาขา (คิดเป็น 6%) เพิ่มขึ้น 19 สาขา

ในปี 2566 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการรวม 399,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6%YoY  ในขณะที่ยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิมในปี 2566 เพิ่มขึ้น 5.5%YoY  โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 80,837 บาท มียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 83 บาท ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 965 คน ในปีที่ผ่านมา

กลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกัน เท่ากับ 10,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1%YoY เพิ่มขึ้นจากรายได้การขายสินค้าทั้งในส่วนของแม็คโครและโลตัสส์

กลุ่มธุรกิจอื่น ซึ่งมีทั้งธุรกิจตัวแทนรับชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงตัวแทนรับฝากและถอนเงินแทนธนาคาร ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป ธุรกิจจำหน่ายและบริการอุปกรณ์ค้าปลีก และธุรกิจอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการ สนับสนุนร้าน 7-Eleven เป็นหลัก มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกันที่ 4,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.4%YoY

ขณะที่ CPAL เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อในปี 2567 นี้มีเป้าหมายจะเปิดร้านสาขาใหม่ในไทยอีกราว 700 สาขา และจะเปิดร้านใหม่ในกัมพูชาและ สปป. ลาวเพิ่มเติม ขณะที่คาดว่าทั้งปีนี้จะใช้งบลงทุนราว 12,000 -13,000 ล้านบาท มีรายละเอียด ดังนี้

  • การเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800 – 4,000 ล้านบาท
  • การปรับปรุงร้านเดิม 2,900 – 3,500 ล้านบาท
  • โครงการใหม่, บริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า 4,000 – 4,100 ล้านบาท
  • สินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300 – 1,400 ล้านบาท

ที่มา CPALL

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา