เชื่อมั้ยว่า โลกกำลังเปลี่ยนเร็วมากที่ใครคาดคิด และทักษะที่เราใช้ทำงานในวันนี้ อาจไม่เพียงพออีกต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า
ประโยคนี้มาจากคำพูดของ ‘แอชชูโทช กุปตะ’ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ ‘Coursera’ ที่มองว่าในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ การศึกษาไม่ใช่แค่ ‘ทางเลือก’ อีกต่อไป แต่คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของมนุษย์ในการเอาตัวรอดในยุค AI
เขายกข้อมูลจาก World Economic Forum ว่า 35% ของทักษะสำคัญในประเทศไทยจะเปลี่ยนไปภายในปี 2030 ซึ่งหมายถึงแรงงานไทยกว่า 1 ใน 3 ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ เพื่อให้ทันกับโลกที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานแบบเดิมอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ หลายอาชีพ โดยเฉพาะระดับเริ่มต้น (entry level) กำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ งานซ้ำซากจำนวนมากหายไปในเวลาไม่นาน เทคโนโลยีอัตโนมัติจึงไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ‘การศึกษา’ ก็ยังคงเป็นความหวังสำคัญในการช่วยคนทำงานให้ปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เพราะทักษะใหม่ๆ คือสิ่งเดียวที่จะทำให้คน ‘อยู่รอด’ ในโลกที่งานเปลี่ยนทุกวัน
และนี่ไม่ใช่แค่โจทย์ระดับบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นโจทย์ระดับประเทศด้วย เพราะถ้าแรงงานไม่พร้อม ย่อมหมายถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็ถดถอยตามไปด้วย
ถ้าแรงงานพร้อม ประเทศก็ไปต่อได้
ผลการศึกษายังชี้ว่า ‘ประเทศ’ ก็สามารถได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เช่นกัน
จากรายงานของ Access Partnership ระบุว่า ประเทศไทยมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.6 ล้านล้านบาทภายในปี 2030 จากการใช้ AI โดยแต่ละอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์แตกต่างกันดังนี้
- ภาคการผลิต 35%
- ค้าปลีกและบริการ 32%
- ภาคคมนาคม 8%
- การเงิน 7%
- ภาคอื่นๆ เช่น เกษตร อาหาร และการศึกษา 19%
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้มาแค่เปลี่ยนโลกการทำงาน แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ให้เกือบทุกอุตสาหกรรม ซึ่งรวมแล้วคิดเป็น 15% ของมูลค่าทางเศรษฐกิจจาก AI ทั้งภูมิภาคอาเซียน แต่เงื่อนไขสำคัญคือ “แรงงานต้องพร้อม”
‘กุปตะ’ อธิบายว่า ถ้าแรงงานไทย 100 คน จะมีอย่างน้อย 56 คนที่ต้องได้รับการรีเทรนภายในปี 2030 ไม่อย่างนั้นจะล้าสมัย ส่วนอีก 9 คนอาจไม่มีโอกาสได้รีเทรนเลย ซึ่งหมายความว่าชีวิตพวกเขาจะลำบากแน่นอน

เขาเสริมว่า นี่คือสัญญาณว่าระบบการศึกษาจะต้องเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่แค่เพิ่มจำนวนผู้เรียน แต่ต้องปรับให้เรียนได้จริง และขยายโอกาสให้เข้าถึงในวงกว้าง
“คนที่เหลืออาจมีทักษะเพียงพอตามมาตรฐาน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะอยู่ในระดับเหนือความต้องการตลาดแรงงาน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ สร้างระบบการเรียนรู้แบบ ‘Learning at Scale’ หรือการเรียนที่ขยายผลได้กว้าง ให้เข้าถึงคนมากที่สุด และต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะกับยุคใหม่”
คนยังขาดการเข้าถึงการศึกษามาก
อย่างไรก็ตาม ภาพในอุดมคติเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ยังห่างไกลจากความเป็นจริงในหลายประเทศ ข้อมูลจาก UNESCO ชี้ให้เห็นว่ามีเพียง 40% ของคนทั่วโลกที่เข้าสู่ตลาดแรงงานโดยมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
ขณะที่ในไทยอยู่ที่เพียง 44% ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ 97% อินโดนีเซีย 41% มาเลเซีย 40% ฟิลิปปินส์ 34% และเวียดนามเพียง 29%
‘กุปตะ’ ยอมรับว่า ปริญญายังสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ‘วุฒิรับรองทักษะ’ ที่ยืนยันได้ว่า คนๆ นั้นมีทักษะที่ตลาดต้องการจริงๆ ทว่าปัญหาคือ บางคนเข้าไม่ถึงการศึกษาเลย และอีกส่วนถึงแม้จะได้เรียนแล้ว แต่สิ่งที่เรียนกลับไม่สอดคล้องกับโลกการทำงาน
ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้จริง
ทาง Coursera มองว่า ‘เทคโนโลยี’ คือเครื่องมือที่จะช่วยปิดช่องว่างนี้ได้ ทั้งด้านค่าใช้จ่าย การเข้าถึง และคุณภาพการเรียนรู้ที่จับต้องได้ การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากมองให้ถูกมุม
“AI ไม่ได้มาแทนคน แต่คนที่ใช้ AI เป็น จะมาแทนคนที่ไม่ใช้ AI”
ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับแรงงานรายบุคคล แต่ยังเกิดขึ้นในระดับองค์กรด้วย Coursera จึงเริ่มช่วยบริษัทต่างๆ ออกแบบ ‘Workforce Learning at Scale’ หรือการเรียนรู้สำหรับพนักงานทั้งองค์กร โดยใช้ระบบฟีดแบ็กอัตโนมัติ และการประเมินผลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนได้ทักษะจริง ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อจบ
‘กุปตะ’ ทิ้งท้ายว่า ทักษะที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21 คือ “การเรียนรู้ได้ตลอดเวลา” เพราะในโลกที่ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอาชีพ ความสามารถในการเรียนรู้ และการปรับตัว คือสิ่งที่จะตัดสินว่าใครอยู่รอด และใครจะก้าวนำในอนาคต
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไม ‘การเรียนรู้’ จึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่สุดของยุค AI
ที่มา: สัมภาษณ์กลุ่มกับแอชชูโทช กุปตะ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Coursera
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา