พฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่เรียกว่า Touchless Society คือ ไม่สัมผัสกับของใช้สาธารณะ รวมถึงการจ่ายเงินซื้อสินค้าแบบไร้การสัมผัส จากข้อมูลธนาคารแห่งประไทยแม้คนไทยยังนิยมใช้เงินสด แต่การใช้ e-Payment มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 สถิติเฉลี่ยแล้ว คนไทยใช้ e-Payment จำนวน 151 ครั้งต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปี 2559
หนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นตัวเร่งมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนเลี่ยงการสัมผัส ลดการใช้เงินสด เปลี่ยนพฤติกรรมในการชำระค่าสินค้า จนเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)
สเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล บอกว่า เทรนด์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก มีการเก็บข้อมูลการชำระค่าสินค้าผ่าน e-Payment ของลูกค้าท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด จนถึงปัจจุบันในปี 2564 เมื่อพิจารณาสัดส่วนการชำระค่าสินค้าพบว่า ลูกค้าเลือกชำระผ่าน e-Payment อยู่ที่ 60% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการใช้จ่ายผ่าน e-Payment 50 % จากสัดส่วนการชำระค่าสินค้าโดยไม่ใช้เงินสดที่เติบโตมากขึ้น
สถิติดังกล่าว ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบชำระเงินที่ใช้เงินสดเป็นหลักไปสู่การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับมากกว่าการใช้เงินสด เช่น การชำระผ่านแอปพลิเคชั่น Dolfin ที่มีส่วนลดพิเศษ, รับ Cash Back เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตต่างๆ การสะสมคะแนน รวมถึงการชำระด้วย e-Gift Card หรือโปรโมชั่นอื่นๆ เฉพาะสมาชิกบัตรเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังพบสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติม ได้แก่ ลูกค้าท็อปส์ที่ใช้ e-Payment มากที่สุดอยู่ในกลุ่มอายุ 35-44 ปี รองลงมาคือ อายุ 45-54 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ถือเป็นลูกค้าหลักของการใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่แล้ว จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า การใช้ e-Payment นั้นครอบคลุม ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 45-54 ปี ที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสดมากขึ้น
ปัจจุบัน “ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท” รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น QR Payment ผ่าน Mobile Banking และพร้อมเพย์, RFID Ship Card, e-Wallet ต่างๆ อาทิ Dolfin, Rabbit LINE Pay, Alipay, WeChat Pay รวมไปถึงการชำระเงินผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและมองหาสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
คาดว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป Touchless Society จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ ทั้งระบบ Online Business และ Financial Business โดยสัดส่วนของการใช้ e-Payment จะเพิ่มเป็นร้อยละ 80 แอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนจะเข้ามามีบทบาทแทน Credit card และ Physical card โดยผู้บริโภคเกือบทั้งหมดจะหันมาใช้ e-Wallet หรือ e-Payment แทน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเดิม ใบเสร็จรับเงินจะถูกส่งให้ลูกค้าโดยตรงผ่านโทรศัพท์มือถือแทนการออกใบเสร็จฯ ที่เป็นกระดาษ รวมไปถึงคูปองส่วนลดต่างๆ
ในอนาคต ลูกค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนบาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์ได้เอง แล้วจึงนำมารวมยอดชำระที่เคาน์เตอร์ ผ่านระบบ e-Payment ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อชำระเงินค่าสินค้า
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา