สรุปครบ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาด ต้องทำอะไรบ้าง พร้อมค่าใช้จ่าย

ไขข้อสงสัย พ.ร.บ. รถยนต์ ขาดได้กี่วัน

การดูแลรถยนต์ไม่ได้จบเพียงแค่การเติมน้ำมันและบำรุงรักษาเครื่องยนต์เท่านั้น หนึ่งในเรื่องสำคัญที่เจ้าของรถต้องคอยติดตาม คือการต่ออายุ พ.ร.บ. รถยนต์ให้ทันเวลา เพราะเอกสารฉบับนี้มีอายุเพียง 1 ปีเท่านั้น หากปล่อยให้หมดอายุ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนปรับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ยังไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้อีกด้วย ที่สำคัญที่สุด หากเกิดอุบัติเหตุระหว่างที่ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาด คุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ และต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตัวเอง บทความนี้จะช่วยอธิบายผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาด พร้อมแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมสำหรับแต่ละสถานการณ์

สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาด

สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาด

ผลกระทบจากการปล่อยให้ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาด จะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่หมดอายุ โดยยิ่งขาดนานเท่าไร ขั้นตอนการแก้ไขก็จะยิ่งซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

พ.ร.บ. รถยนต์ ขาดไม่เกิน 1 ปี

การขาดต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ในช่วงไม่เกิน 1 ปี ถือเป็นกรณีที่ยังแก้ไขได้ง่ายที่สุด เพราะสามารถดำเนินการต่ออายุได้ทันทีโดยไม่มีค่าปรับเพิ่มเติมในส่วนของ พ.ร.บ. รถยนต์ อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าปรับในส่วนของภาษีรถยนต์ที่ขาดต่อ ซึ่งคิดในอัตรา 1% ของยอดภาษีรถยนต์ต่อเดือนที่ค้างชำระ การต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ในกรณีนี้สามารถทำได้หลายช่องทาง ทั้งการติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง หรือผ่านช่องทางออนไลน์ที่สะดวก และรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องนำรถไปตรวจสภาพหรือดำเนินการพิเศษใด ๆ เพิ่มเติม

พ.ร.บ. รถยนต์ ขาดเกิน 2 ปีขึ้นไป

เมื่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาดเกิน 2 ปีขึ้นไป สถานการณ์จะซับซ้อนขึ้นอย่างมาก โดยเจ้าของรถจะต้องนำรถไปตรวจสภาพที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ก่อน และต้องดำเนินเรื่องด้วยตนเองที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น ไม่สามารถดำเนินการผ่านตัวแทนหรือช่องทางออนไลน์ได้ นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลายรายการ ได้แก่ ค่าต่อทะเบียนรถ ค่าปรับต่าง ๆ ค่าจดทะเบียน ค่าต่อภาษี และค่าตรวจสภาพรถ เอกสารที่จำเป็นต้องนำไปประกอบการดำเนินการ ได้แก่ ทะเบียนบ้านของเจ้าของรถ สมุดทะเบียนรถ และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ

พ.ร.บ. รถยนต์ ขาดเกิน 3 ปีขึ้นไป

การปล่อยให้ พ.ร.บ. รถยนต์ ขาดเกิน 3 ปีขึ้นไป จัดเป็นกรณีที่มีผลกระทบรุนแรงที่สุด เพราะรถจะถูกระงับทะเบียนโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลานาน นอกจากค่าปรับต่าง ๆ แล้ว ยังต้องเสียค่าภาษีรถยนต์ย้อนหลังสำหรับระยะเวลาที่ขาดการต่อด้วย เอกสารที่ต้องใช้จะเหมือนกับกรณีขาดเกิน 2 ปี แต่ทางกรมการขนส่งอาจขอเอกสารเพิ่มเติมในวันที่ไปดำเนินเรื่อง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และความซับซ้อนของแต่ละกรณี

ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ มีค่าใช้จ่ายเท่าไร ?

ค่าใช้จ่ายต่อ พ.ร.บ. รถยนต์

ค่าใช้จ่ายในการต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ จะแตกต่างกันไปตามประเภท และขนาดของรถยนต์ โดยมีอัตราที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

  • รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง : 600 บาท
  • รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 15 ที่นั่ง : 1,100 บาท
  • รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 15 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 20 ที่นั่ง : 2,050 บาท
  • รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 20 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 40 ที่นั่ง : 3,200 บาท
  • รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 40 ที่นั่ง : 3,740 บาท
  • รถบรรทุกไม่เกิน 3 ตัน (รถกระบะ) : 900 บาท
  • รถบรรทุกเกิน 3 ตัน ไม่เกิน 6 ตัน : 1,220 บาท
  • รถบรรทุกเกิน 6 ตัน ไม่เกิน 12 ตัน : 1,310 บาท
  • หัวรถลากจูง : 2,370 บาท
  • รถพ่วง : 600 บาท
  • รถยนต์เพื่อการเกษตร : 90 บาท

แล้วถ้าขาดต่อภาษีรถยนต์ 1 ปี มีค่าปรับไหม ?

การขาดต่อภาษีรถยนต์จะมีค่าปรับแน่นอน โดยคิดในอัตรา 1% ของยอดภาษีรถยนต์ต่อเดือนที่ค้างชำระ สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ การต่อภาษีรถยนต์ และการต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ มีความเชื่อมโยงกัน เพราะตามกฎหมายกำหนดให้ต้องมี พ.ร.บ. รถยนต์ ที่ยังไม่หมดอายุเป็นเอกสารประกอบการต่อภาษี ดังนั้น หากต้องการต่อภาษีรถยนต์ จำเป็นต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ให้เรียบร้อยก่อนเสมอ การวางแผนล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันค่าปรับแล้ว ยังทำให้การจัดการเอกสารต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และไม่เกิดปัญหาในการใช้รถ

หากต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการ เอกสารที่จำเป็น และการเตรียมความพร้อมสำหรับแต่ละสถานการณ์ สามารถอ่านรายละเอียดครบถ้วนได้จากบทความ “พ.ร.บ. รถยนต์ขาด ต่อได้กี่วัน ต้องทำอะไรบ้าง” ซึ่งจะช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การดูแลรักษา พ.ร.บ. รถยนต์ ให้อยู่ในสภาพที่มีผลใช้งานตลอดเวลาเป็นความรับผิดชอบสำคัญของเจ้าของรถทุกคน การขาดการต่ออายุไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาทางกฎหมาย และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ยังทำให้สูญเสียความคุ้มครองที่สำคัญในกรณีเกิดอุบัติเหตุ การวางแผน และการติดตามวันหมดอายุอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การใช้รถเป็นไปอย่างปลอดภัย และไม่มีปัญหา ซึ่งคุ้มค่ากับเวลา และความพยายามเล็กน้อยที่ใช้ในการดูแลเรื่องนี้

ที่มา : Krungsri The COACH

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
The cars we drive say a lot about us. Keep calm and drive on.