“ปริญญ์ พานิชภักดิ์” แนะเก็บ 5 กลุ่มหุ้น หวังข่าวเลือกตั้งปี 62 ดันดัชนีหุ้นสิ้นปีแตะ 1,800-1,900 จุด

ช่วงนี้นักลงทุนมีเรื่องต้องหวั่นไหวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะปัญหาต่างชาติเทขายหุ้นไทย ดัชนี SET ตกวูบ หรือ ผลกระทบจาก Trade War (สงครามการค้า) และ Brexit (สถานการณ์อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป) แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส มาอ่านบทวิเคราะห์ของ บล. ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) และ SCBS หาทางเพิ่มผลตอบแทนกันดีกว่า

ภาพจาก shutterstock

“ปริญญ์” ชี้เดือนนี้ต้องเก็บหุ้น เผย 5 กลุ่มหุ้นมีแววโต แต่กลุ่มแบงก์ยังอืด

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า เดือนก.ค.นี้เป็นช่วงที่นักลงทุนควรเข้าเก็บหุ้นเพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่เพิ่มสูงขึ้นนัก เนื่องจากภาพรวมผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ยังไม่เติบโตมาก เพราะหุ้นใหญ่อย่างกลุ่มธนาคารยังไม่เติบโตเท่าที่ควร ซึ่งไตรมาส 3 เราจะเริ่มเห็นกองทุนรวมเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้บ้างแล้ว

ส่วนในไตรมาส 3 นี้มองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะกองทุนรวมของไทยเริ่มเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้ เพราะเห้นความเป็นไปได้ที่หุ้นไทยจะเติบโตในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อาจจะเห็นดัชนีหุ้นไทยโตก้าวกระโดด 200-300 จุด เหมือนปีก่อน ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะทรงตัวในไตรมาส 3 และปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4

ภาพจาก shutterstock

ส่วนหุ้นที่ยังมีทิศทางการเติบโตดี แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มได้แก่

  • กลุ่มก่อสร้าง ได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (Stec) บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (Uniq)
  • กลุ่มบ้านและอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (Spali)
  • กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)  (BDMS)
  • กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (amata) บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA)
  • กลุ่มพลังงาน ที่เห็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) 
  • บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)

 

ภาพจาก shutterstock

ทั่วโลกรอข่าวดีการเลือกตั้งในปีหน้า โปรยความหวังดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 61 แตะ 1,800-1,900 จุด

ปริญญ์ บอกว่า ปีนี้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาศที่จะแตะ 1,800-1,900 จุด แต่ต้องมี 2 ปัจจัย คือ 1. ต้องมีข่าวการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างชัดเจน จะสามารถเรียกความสนใจจากต่างชาติได้ดี เพราะมิฉะนั้นนักลงทุนอาจจะสนใจลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีสตอรี่ที่ดีกว่าแทน

2.การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หากสามารถแก้ปัญหาเรื่อง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างได้ จะทำให้โครงการขนาดใหญ่ชัดเจนขึ้น เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าส่วนขยายสายสีม่วงและสีส้ม

ภาพจาก shutterstock

Trade War กระทบแค่ระยะสั้น ส่วนเทรนดอกเบี้ยขาขึ้นอาจส่งผลให้คนเทขายหุ้นใน EM

เรามองว่า Trade War จะส่งผลกระทบต่อตลาดโลกแค่ระยะสั้น โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนและคลี่คลายในช่วงพ.ย.-ธ.ค. 61  หลังจบการเลือกตั้งช่วงกลางของสหรัฐ (Midterm Election) ขณะเดียวกันทางสหรัฐฯไม่สามารถทำมาตรการการค้ารุนแรงมาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐที่ทำการค้ากับจีน ส่วนจีนก็สามารถหาตลาดส่งออกที่อื่นได้อยู่แล้วจึงไม่น่าส่งผลกระทบมาก

อย่างไรก็ตามผลกระทบจากเรื่องที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐเติบโตขึ้น ขณะเดียวกันอาจกระทบต่อการเทขายหุ้นใน กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM-Emerging Market) รวมถึงไทยจากที่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติเทขายหุ้นไทยกว่า 1.8 แสนล้านบาท ทั้งปีนี้ อาจเทขายมากกว่า 2.0 แสนล้านบาท

ภาพจาก shutterstock

บล. ไทยพาณิชย์ ชี้หุ้นเด่นไตรมาส 3/61

ด้านบล. ไทยพาณิชย์ (SCBS) วิเคราะห์สถานการณ์ว่า ไตรมาส 3/61 นี้ แนะนำการลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากค่าเงินอ่อนค่า (ล่าสุดอยู่ที่ 33.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) โดยจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกที่คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ได้แก่

  • บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) (HANA)
  • บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน)  (KCE)
  • บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF)
  • บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TU) 

นอกจากนี้จากเทรนดอกเบี้ยขาขึ้น  เราแนะนำการเลือกหุ้นที่  valuation (มูลค่าของหุ้น) ไม่แพง โดยดูจากระดับราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ยังไม่สูง และราคายังล้าหลังตลาดโดยรวม ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL), ธนาคารกรุงไทย (KTB), PTT,  PTTEP

มุมมองตลาดหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ยังได้รับแรงกกดดันจากสงครามการค้า ที่ยังไม่เห็นวี่แววการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวลดลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง และกระทบต่อ SET index ปรับตัวลงต่อ คาดว่าวันนี้หุ้นไทยจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,600-1,650 จุด

 

สรุป

เดือนก.ค. นี้ เหมาะที่นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้ เพราะราคาหุ้นยังไม่สูง ขณะเดียวกันยังมีทิศทางว่าสิ้นปีนี้หุ้นจะปรับตัวขึ้น โดยหุ้นที่น่าสนใจคือได้รับผลดีจากการส่งออก อสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ฯลฯ แต่นักลงทุนยังต้องจับตามองปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะการเลือกตั้ง และปัจจัยนอกประเทศอย่างสงครามการค้า เป็นต้น

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา