รัฐบาลจีนผ่อนคลายข้อบังคับให้ต่างชาติถือหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินได้เกิน 49% แล้ว

ปกติการเปิดกิจการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินในประเทศจีน ชาวต่างชาติสามารถถือหุ้นได้สูงสุดแค่ 49% เท่านั้น สร้างความลำบากใจให้กับธนาคารต่างประเทศที่ต้องการขยายกิจการเข้ามาในประเทศจีนมากขึ้น แต่ล่าสุดทางการจีนผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

ประเทศจีนตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินในอนาคตให้มากกว่านี้ ฉะนั้นการที่ทางการจีนผ่อนคลายข้อบังคับดังกล่าวย่อมส่งผลดีกับธนาคารต่างประเทศที่จะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีนมากขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบริษัทหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างประเทศทั้งหลายจะได้รับผลประโยชน์เต็มๆ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นหากสถาบันการเงินต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจในจีนมักจะถือหุ้นเป็นส่วนน้อย

กฏใหม่มีอะไรบ้าง

โดยกฏนี้กำลังจะร่างในเร็วๆ นี้ แต่เท่าที่ Zhu Guangyao ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของจีนได้เปิดเผยคร่าวๆ มีดังนี้

  • ธนาคารในจีนถือหุ้นได้ 20% สำหรับผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติแบบรายเดียว แต่ไม่เกิน 25% สำหรับถือหลายๆ ส่วน (เช่นคนละบริษัท แต่ผู้ถือหุ้นรายเดียวกัน) โดยข้อกำหนดนี้จะยกเลิกออกไปและจะใช้เงื่อนไขเดียวกับนักลงทุนชาวจีน
  • บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ไว้สำหรับบริหารหนี้เสีย ใช้กฏเดียวกันกับธนาคาร
  • บริษัทหลักทรัพย์ ชาวต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 51% สามปีหลังจากนี้จะไม่มีข้อจำกัดตรงนี้
  • บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ชาวต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 51% สามปีหลังจากนี้จะไม่มีข้อจำกัดตรงนี้
  • บริษัทประกันภัยชาวต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 51% ห้าปีหลังจากนี้จะไม่มีข้อจำกัดตรงนี้

โดยกฏใหม่ที่กำลังจะร่างนี้น่าจะทำให้ธนาคารต่างประเทศทั้งหลายดีใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะ HSBC ที่กำลังจะขยายสาขาเข้าจีนโดยเฉพาะ

อาจเป็นเรื่องที่ช้าไปของจีน

ก่อนหน้าที่จะมีการออกกฏใหม่ออกมานั้นทางธนาคารและวาณิชธนกิจต่างประเทศหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่นวาณิชธนกิจชื่อดังอย่าง JPMorgan นั้นได้เรียกร้องให้ทางการจีนผ่อนคล่ายข้อกำหนดนี้ลง โดยเฉพาะธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ แต่จนแล้วจนรอดทางการจีนก็ไม่ได้จัดการเรื่องนี้จนท้ายที่สุด JPMorgan นั้นได้ถอนตัวออกจากบริษัทหลักทรัพย์ First Capital โดย Jamie Dimon กล่าวว่าอาจกลับมาตั้งบริษัทหลักทรัพย์ในจีนอีกรอบก็เป็นไปได้หากทางการจีนนั้นได้ออกกฏใหม่มาแล้ว ส่วน Keith Pogson ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Asia Financial Services ที่ EY ได้กล่าวไว้ว่า “มันเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงมันค่อนข้างเป็นเรื่องเล็กและมาช้าไปแล้ว”

คนที่ชนะในเกมนี้คือทรัมป์และสี จิ้นผิง

เมื่อทรัมป์ได้มาเยือนประเทศจีน ตัวทรัมป์เองพยายามที่จะผลักดันนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่ตรงกับความต้องการของ สี จิ้นผิงพอดีด้วย หลังจากการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่ผ่านมา ที่ตัวสี จิ้นผิงเองพยายามผลักดันประเทศจีนให้ก้าวสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดย Iris Pang นักวิเคราะห์ของ ING กล่าวว่า “ทางการจีนนั้นเตรียมตัวในเรื่องนี้มานาน และในเมื่อทรัมป์แวะมาเยี่ยมประเทศจีน นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะประกาศเรื่องนี้”

ที่มา – Bloomberg, Financial Times, Channel NewsAsia

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ