รัฐบาลจีนยกระดับการตรวจจับการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่ ตั้งแต่การสั่งปิดเหมืองขุดคริปโต จนกระทั่งสั่งให้ทั้งธนาคารและสถาบันการเงินอย่าง Alipay เพิ่มความระมัดระวังต่อการให้บริการลูกค้าที่ถือเหรียญคริปโต อีกด้วย
ประเทศจีนมีผู้ผลิตหรือที่เรียกกันว่า “เหมืองขุด” ของคริปโตเคอเรนซี่ที่ใช้ในการเทรดระดับโลกถึง 80% แต่ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางการจีนก็เริ่มสั่งปิดเหมืองในหลายๆ พื้นที่ไปแล้ว
ปิดเหมืองขุดคริปโตฯ
ล่าสุด เหมืองขุดคริปโตฯ ในมณฑลเสฉวนจำนวน 26 เหมืองถูกเทศบาลสั่งปิด รวมถึงสั่งให้บริษัทผลิตไฟฟ้าเลิกจ่ายไฟฟ้าให้แก่เหมืองขุดคริปโตฯ ทุกแห่งในทันที
วิจัยจาก University of Cambridge ให้ข้อมูลว่าจีนเป็นผู้ผลิตบิทคอยน์ถึง 65% ของโลกในปี 2020 และเสฉวนถือเป็นผู้ผลิตอันดับที่ 2 ในประเทศ ซึ่งการสั่งปิดรอบนี้ทำให้การผลิตบิทคอยน์ภายในประเทศหายไปถึง 90%
ท่าทีของทางการที่แข็งกร้าวมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ เหมืองที่ถูกปิดไปเป็นเหมืองที่ใช้พลังงานจากถ่านหินซึ่งขัดต่อนโยบายพลังงานระดับประเทศของจีน แต่เหมืองในเสฉวนใช้พลังงานจากน้ำเกือบทั้งหมด
Winston Ma ศาสตราจารย์จาก NYU Law School ให้ความเห็นว่า “การใช้พลังงานหมุนเวียน (renewable energy) ไม่ช่วย” เพราะว่าพื้นที่ที่มีเหมืองมากที่สุด 4 แห่ง ได้แก่ มองโกเลียใน ซินเจียง ยูนนาน และเสฉวน ถูกสั่งปิดหมด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้ถ่านหินแค่ในสองพื้นที่แรกเท่านั้น
สถาบันการเงินโดนสั่งแบนคริปโตฯ
ธนาคารกลางของจีน (PBOC) ได้เรียกธนาคารและสถาบันการเงินรายใหญ่ในประเทศเข้าไปวางแนวทางในการตรวจสอบและไม่สนับสนุนคริปโตเคอเรนซี่ที่เข้มงวดมากขึ้น
ธนาคารถูกสั่งห้ามให้บริการใดใดที่เกี่ยวกับคริปโตฯ เช่น การเทรด การรับฝากและชำระรายได้ที่เกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง ด้าน Agriculture Bank of China (AgBank) ธนาคารที่ให้กู้มากที่สุดเป็นลำดับ 3 ของประเทศ ประกาศว่าจะทำตามแนวปฏิบัติของธนาคารกลางแล้ว
ด้าน Alipay แพลตฟอร์มการชำระเงินออนไลน์ของ Alibaba ประกาศให้ความรวมมือกับทางธนาคารกลาง เตรียมพัฒนาระบบตรวจจับการโอนเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ ที่ผิดกฎหมายทุกชนิด
ตามแบนแม้ในโซเชี่ยลมีเดีย
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนก็ได้เริ่มสั่งปิดแอคเคาท์ใน Weibo ที่พูดถึงคริปโตเคอเรนซี่หลายรายโดยเฉพาะ KOL หรือ Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่ง Weibo เป็นแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียแนวหน้าของจีน
ด้านสื่อในจีนก็สนับสนุนรัฐบาลเช่นเดียวกัน โดยรายงายข่าวที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน การฉ้อโกง ธุรกรรมใต้ดินด้วยคริปโตเคอเรนซี่อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน จน Weibo ล่มกันเลยทีเดียว
ทางการจีนไม่เอาคริปโตอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่ของตัวเอง
ถึงแม้ว่าทางการจีนจะห้ามใช้คริปโตแทนเงินสดตั้งแต่ปี 2013 ห้ามสร้างเหรียญใหม่ผ่านการ ICO (Initial Coin Offering) เมื่อปี 2017 และห้ามเทรดภายในประเทศในปี 2019 ก็ตาม แต่ทั้งนักลงทุนและนักขุดเหมืองในจีนก็ยังมีจำนวนสูงมากอยู่ดี ซึ่งสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปหลังจากการสั่งปิดรอบล่าสุด
ทางธนาคารกลางจีนได้เริ่มพัฒนาคริปโตเคอเรนซี่ของตัวเองที่เรียกว่า “ดิจิทัลหยวน” มาตั้งแต่ปี 2014 และวางแผนว่าจะใช้งานแทนเงินสดในระบบบางส่วน โดยเริ่มทดสอบการใช้งานจริงในบางเมืองเช่น เซินเจิ้น เฉิงตู และซูโจวแล้ว
สรุป
การสั่งแบนคริปโตเคอเรนซี่อย่างสิ้นเชิงครั้งนี้ของทางการจีนดูเหมือนจะบ่งบอกว่าทางรัฐบาลต้องการให้ตัวเองกลับมาควบคุมระบบการเงินของประเทศได้มากขึ้นอีกครั้ง และปูทางให้คริปโตเคอเรนซี่ของตัวเองให้เปิดตัวได้อย่างง่ายดายมากขึ้นอีกด้วย
ที่มา – Straits Times, Reuters 1 2, BBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา