เห็นเงียบๆ (?) ฟาดเรียบนะคะ
รถยนต์ไฟฟ้าก็จะเอา ชิปก็จะแข่ง ตลาดทีวียังมาแย่ง แล้วรู้หรือไม่ว่า ‘จีน’ ยังครองแชมป์ผู้ผลิต ‘คาเวียร์’ รายใหญ่ของโลกอีก เรียกว่าฟาดหมดเก็บทุกตลาดเลยจริงๆ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘คาเวียร์’ หรือ ‘ไข่ปลาสเตอร์เจียน’ คือวัตถุดิบสุดลักชูรี แถมยังหายากเพราะปลาพันธุ์นี้ใกล้สูญพันธ์ุเต็มที
ด้วยความแรร์ของมันนี่ล่ะ เลยทำให้หลายๆ ประเทศ รวมถึงจีน ลงทุนทำฟาร์มปลาสเตอร์เจียนเป็นของตนเอง เพื่อที่จะได้มีคาเวียร์ไว้บริโภคอย่างยั่งยืน ในราคาที่ย่อมเยามากขึ้น
แล้วคาเวียร์ของจีนมันโด่งดังขนาดไหนกันนะ?
‘คาเวียร์จีน’ ส่งออกอันดับ 1 กินส่วนแบ่งเกินครึ่งของโลก
ปัจจุบัน คาเวียร์ของจีนได้รับความนิยมจากนานาประเทศและเป็นประเทศผู้ส่งออกคาร์เวียที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย
- 60% ของคาเวียร์ทั่วโลกผลิตมาจากจีน
- จีนส่งออกคาเวียร์ถึง 276 ตันในปี 2023 เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 2019
- จีนส่งออกคาเวียร์จนทำรายได้มากถึง 2.8 พันล้านบาทในปี 2023
เอาจริงๆ ในตอนแรก คาเวียร์ของจีนก็ไม่ได้รับความนิยมขนาดนี้หรอก เนื่องจากชาวต่างชาติชอบติดภาพลักษณ์ว่า สินค้าจากประเทศนี้ดีแค่ราคาถูก แต่คุณภาพไม่ได้เรื่อง
แต่ธุรกิจต่างๆ ในอุตสาหกรรมคาเวียร์ก็ไม่ท้อ พยายามพิสูจน์ตนเองด้วยคุณภาพและบริการที่เหนือระดับ พร้อมยังคงคอนเซปต์ราคาที่จับต้องได้ไว้ จนสุดท้าย ไข่ปลาสเตอร์เจียนของจีนก็สามารถเอาชนะใจคนทั้งโลกได้อย่างที่เห็น
มาดูกันดีกว่าว่า จีนเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนกันยังไง
‘หยาอัน’ จากดินแดนแห่งแพนด้า สู่บ้านของปลาสเตอร์เจียน

ก่อนอื่น เราต้องมาทำความรู้จักกับ ‘หยาอัน’ เมืองแห่งหนึ่งในมณฑลเสฉวน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการเป็นดินแดนแห่งหมีแพนด้า แถมยังเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ที่ดูแลญาติๆ หลินปิงถึง 340 ตัว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางหุบเขาที่เป็นบ้านพักของแพนด้ามากมาย หยาอันยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้เมืองนี้กลายเป็นแหล่งผลิตคาเวียร์รายสำคัญของจีน
ฟาร์มปลาสเตอร์เจียนของหยาอัน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.5 แสนตารางเมตร มาพร้อมกับสระเพาะพันธุ์อีก 274 แห่ง
โดยปกติ หยาอันจะเลี้ยงสเตอร์เจียนทีละ 7 แสนตัว แยกตามสายพันธุ์และเงื่อนไขการเติบโต เพราะกว่าไข่ของพวกมันจะโตพอให้เอาไปขายได้ ต้องใช้เวลานาน 8-15 ปี
พอปลาสเตอร์เจียนมีน้ำหนักตั้งแต่ 10 กิโลถึง 100 กิโลกรัมกว่าๆ พวกมันจะถูกเอาไปอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจดูว่าไข่ในท้องพร้อมเก็บหรือยัง
หลังจากนั้น ไข่ก็จะถูกนำไปล้าง หมักเกลือ แล้วปิดซีลใส่กระป๋อง เตรียมส่งออกในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมของทุกๆ ปี
ด้านพนักงานบริษัทผลิตคาเวียร์แห่งหนึ่งในเสฉวน ก็บอกว่า การทำคาเวียร์ไม่ได้ยากอะไร แค่เติมเกลือไปก็จบ แต่ถ้าอยากให้สินค้ามีคุณภาพดี กระบวนการทุกอย่างควรเสร็จภายใน 15 นาทีด้วย
เส้นทางโหดๆ ของวัยรุ่นเสฉวน ยุคบุกเบิกคาร์เวียจีน
รู้ถึงกระบวนการผลิตไปแล้ว เรามาลองอ่านเรื่องราวฝั่งเจ้าของกิจการฟาร์มปลาสเตอร์เจียนในจีนบ้างดีกว่าว่า จุดเริ่มต้นนั้นเป็นอย่างไร
‘Li Jun’ คือชายหนุ่มที่เรียนจบคณะการเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์น้ำ จากมหาวิทยาลัยการประมง และยังไปต่อยอดการศึกษาด้านนี้ที่สถาบันวิจัยของเสฉวน ก่อนจะเปิดธุรกิจฟาร์มปลาของตนเองในปี 1996
เดิมที Li เน้นเลี้ยงปลาดุกและปลาพันธุ์อื่นๆ ก่อน แต่พอการแข่งขันในตลาดปลาดุกเข้มข้นขึ้น เขาเลยหันมาเพาะปลาสเตอร์เจียนแทน
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานั้น การเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนยังถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในประเทศจีน เพราะไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน ส่งผลให้ Li ต้องไปตระเวนเยี่ยมฟาร์มในต่างประเทศ และลองผิดลองถูกด้วยการเอาปลานำเข้ามาเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากศึกษามานานถึง 5 ปี Li จึงก่อตั้งบริษัท ‘Sichuan Runzhao Fisheries’ ขึ้นในปี 2006 เพื่อบุกตลาดคาเวียร์ แต่ชีวิตก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะกว่าไข่ปลาสเตอร์เจียนจะพร้อม ต้องใช้เวลาหลายปี แถมต้นทุนการเลี้ยงยังสูงอีก
เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน แม้ Li จะพยายามประทังชีวิต ด้วยการขายปลาสเตอร์เจียนตัวผู้และปลาพันธุ์อื่นๆ ระหว่างรอคาเวียร์โตเต็มที่ เขาดันเจอกับสภาพอากาศร้อนที่ทำให้ปลาตายเป็นแสนๆ แล้วเสฉวนยังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2008 อีก
กว่า Li จะได้เริ่มขายคาเวียร์จริงๆ ก็ปี 2012 นู่นเลย แต่ไม่ได้หมายความว่า จะมีลูกค้าทันที เพราะเขาต้องเดินทางไปนำเสนอสินค้าถึงยุโรป ซึ่งเป็นทวีปที่บริโภคคาเวียร์มากที่สุดในโลก
ด้วยความสู้ชีวิต ปัจจุบัน Sichuan Runzhao Fisheries จึงกลายเป็นผู้ส่งออกคาเวียร์มากถึง 60 ตันต่อปี แถมยังเป็นผู้ผลิตไข่ปลาสเตอร์เจียนให้กว่า 30 ประเทศทั่วโลก
จากเคสนี้ จะเห็นได้เลยว่า Li Jun คือตัวอย่างของ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” จริงๆ
แล้วในอนาคต จีนจะมีแพสชันไปตีตลาดอุตสาหกรรมไหนอีกบ้าง โปรดติดตามตอนต่อไป
ที่มา: Nikkei Asia, South China Morning Post
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา