ตลาดน้ำแร่อยู่ยาก “ช้าง” และ “เป๊ปซี่” ลงสนาม แตกต่างด้วยนวัตกรรม ชูพรีเมียม จับ Millennial

“น้ำแร่” คือน้ำที่ Added Value ด้วยแร่ธาตุต่างๆ เข้าไป แต่เมื่อถึงจุดที่ใครๆ ก็ทำได้ สินค้าตัวนี้จึงต้องการนวัตกรรม และแนวทางการตลาด เพื่อเพิ่มคุณค่าของสินค้าขึ้นไปอีก แล้วน้องใหม่ในตลาดอย่าง “ช้าง” และ “เป๊ปซี่” จะเดินกลยุทธ์อย่างไร

ชิงเค้กตลาด 3,800 ล้านบาท

ถึงทั้ง “ช้าง” และ “เป๊ปซี่” จะเป็นน้องใหม่ในตลาดน้ำแร่ แต่ทั้งคู่ก็เป็นยักษ์ใหญ่ และมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการเลือกเข้ามาในตลาดน้ำแร่ที่มีมูลค่า 3,800 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโต 15% ทุกปี หรือคิดเป็นราว 10% ของตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด 33,000 ล้านบาท ที่เติบโตเพียงปีละ 8% จึงเป็น Movement ที่สำคัญ

เอ็ดมอนด์ เนียว คิม ซูน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ช้างอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เล่าให้ฟังว่า การเข้ามาในตลาดนี้ของแบรนด์ช้าง เพราะต้องการเพิ่มสินค้าให้ครบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ หลังจากมี่ทั้งน้ำดื่ม, โซดา รวมถึงเบียร์ ซึ่งสินค้าน้ำแร่จะมาช่วยเติมเต็มความเป็นพรีเมียมของแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น แต่ยังอยู่ภายใต้แนวคิดเรื่องมิตรภาพเช่นเดิม

“มิตรภาพคือแนวคิดหลักในการสื่อแบรนด์ไปให้ผู้บริโภครับรู้ และมองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือนอนแอลกอฮอล์ ก็สามารถใช้แนวคิดนี้ได้ โดยตัวน้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง ทางแบรนด์ที่จะเกี่ยวกับสิ่งที่มีคุณค่า ย่อมใช้เวลาเสมอ ซึ่งเหมือนกับกว่าจะได้น้ำแร่มา ก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เหมือนกับมิตรภาพที่ดี ก็ต้องใช้เวลานานในการสร้าง ซึ่งสินค้าตัวนี้เราใช้เวลาคิดมา 1 ปี”

เอ็ดมอนด์ เนียว คิม ซูน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ช้างอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

Millennial คือกลุ่มเป้าหมาย

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของการจำหน่ายน้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง คือกลุ่ม Millennial และชนชั้นกลางที่มีวิถีชีวิตพรีเมียมกว่าในอดีต ประกอบกับทั้งสองกลุ่มนั้นเริ่มใส่ใจในสุขภาพ และโภชนาการ ซึ่งตัวน้ำแร่ที่มีแร่ธาตุจำนวนมากก็ตอบโจทย์พฤติกรรมนี้ได้ แต่การจะทำตลาดกับกลุ่มดังกล่าวต้องสร้างความแตกต่าง และให้ความภูมิใจในการซื้อมาดื่ม

ซึ่งจุดนี้ “ช้าง” เลือกที่ใช้บรรจุภัณฑ์เป็นขวดพลาสติกสีเขียวเหมือนกับสีบริษัท และคล้ายกับน้ำแร่ของต่างประเทศ เพื่อสร้างความพรีเมียม และภูมิใจในการดื่ม ส่วนตัวน้ำแร่จะมาจากแหล่งชั้นหินให้น้ำในพระนครศรีอยุธยาที่เก่าแก่กว่า 1.6 ล้านปี แต่ถึงจะพรีเมียมก็แข่งขันด้วยราคา 10 บาท มีขนาดเดียวคือ 460 มล. เล็กกว่าคู่แข่ง และไม่ยังไม่มีแผนเพิ่มขนาดอื่นๆ ในเร็ววันนี้

น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง ขวดสีเขียว และเขียนว่า Still Water เพื่อเพิ่มความชัดเจนว่าไม่อัดก๊าซ

“เราทดลองขายในเซเว่นอีเลฟเว่นมาตั้งแต่เดือนมี.ค. และได้ผลตอบรับค่อนข้างดีในโลกออนไลน์ จึงเดินกลยุทธ์ออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มเป้าหมายของเราใช้ชีวิตอยู่บนนี้เป็นหลัก และเตรียมเข้าไปวางขายในร้านอาหาร และโรงแรมต่างๆ เพิ่ม ที่สำคัญถึงปริมาณเราจะเล็กกว่า แต่เมื่อเล็ก แล้วมีคุณภาพ โอกาสที่ผู้บริโภคจะซื้อก็มีสูง”

ทั้งนี้ “ช้าง” ตั้งเป้าเป็น Top 3 ในตลาดน้ำแร่ภายใน 2 ปี และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้นอนแอลกอฮอล์ให้ได้ 50% ของรายได้ ตาม Vision 2020 ของบริษัท

แตกต่างเหมือนกันแบบ “เป๊ปซี่”

ขณะที่ “ช้าง” เลือกทำตลาดด้วยความแตกต่าง และเจาะไปที่กลุ่ม Millennial ทาง “เป๊ปซี่” ก็เลือกที่จะแตกต่าง และเจ้าไปที่กลุ่มดังกล่าวเช่นเดียวกัน ผ่านการปล่อยสินค้าภายใต้แบรนด์ Aquafina ในชื่อ Aquafina Minérale มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 550 มล. ราคา 10 บาท และ 1.5 ลิตร ราคา 19 บาท ภายใต้คอนเซ็ป “สดชื่นกับสิ่งดีดีทุกวัน”

โอเมอร์ มาลิค กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง บอกว่า การเข้ามาทำตลาดนี้ เพื่อเติมเต็มสินค้าของแบรนด์ หลังจากมีน้ำดื่มบรรจุขวด และน้ำเกลือแร่จำหน่ายไปก่อนหน้า และยิ่งกระแสสุขภาพมาแรงในกลุ่ม Millennial ก็เป็นโอกาสสำคัญในการส่งสินค้าตัวนี้มาต่อยอดรายได้ ผ่านการทำตลาดออนไลน์ และกระจายสินค้าทุกช่องทาง

สรุป

อยู่ๆ ตลาดน้ำแร่ก็กลับมาคึกคักอีกรอบ หลังจากปล่อยผู้เล่นหน้าเดิมๆ กินรายเค้กกันอย่างสบาย แต่หลังจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนในอดีตแล้ว เพราะทั้งช้าง และเป๊ปซี่ ก็ไม่ใช่หน้าใหม่ เพราะเก๋าประสบการณ์ และยิ่งเรื่องราคา กับภาพลักษณ์สินค้าก็ต่างกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด ดังนั้นคงต้องจับตามองว่า ความเคลื่อนไหวในตลาดนี้จะเป็นอย่างไร ว่าแต่ตอนนี้ผู้อ่านดื่มน้ำแร่กันอยู่หรือเปล่า?

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา