ธุรกิจค้าปลีกช่วงนี้อยู่อยากจริงๆ หลังโลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จนผู้ซื้อขี้เกียจออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะกับค้าปลีกที่เปิดมานาน คนเก่า – ความคิดเก่า ก็ทำให้พวกเขาปรับตัวไม่ทัน และถ้าไม่ปรับโอกาสจะรอดก็ยาก
ตำราเก่าใช้ไม่ได้แล้ว ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่
เซ็นทรัล คือกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ในไทย แม้ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ค้าปลีกแล้ว แต่จุดเริ่มต้นของอาณาจักรนี้ก็เกิดมาจากร้านเล็กๆ ของบรรพบุรุษ ดังนั้นด้วยความเก่าแก่นี้เอง การบริหารรุ่นสู่รุ่น รวมถึงแนวคิด และพนักงานก็ถูกปลูกฝังมาแบบเก่า แต่ด้วยโลกปัจจุบันเปลี่ยนไป และหมุนเร็วมาก การยังยึดตำรายุทธศาสตร์เล่มเดิมที่ใช้กับธุรกิจในอดีตคงไม่ได้แล้ว ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลตัดสินใจปรับโฉมธุรกิจครั้งใหญ่ด้วยการเดินหน้าสู่ดิจิทัล หรือ Digital Transformation เต็มตัว เพื่อรักษาอัตราการเติบโต และโอกาสธุรกิจในอนาคตไว้
ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เล่าให้ฟังว่า ถ้าในโลกธุรกิจค้าปลีกยุคก่อน เซ็นทรัลคือหนึ่งในผู้นำ เพราะสามารถมองตลาด และวางกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม แต่ตอนนี้ต้องทิ้งตำราเล่มเก่าๆ ไปบ้าง เพราะทิศทางผู้บริโภคเปลี่ยน และบริษัทก็ยังเรียนรู้เรื่องนี้ไม่ได้ทั้งหมด เท่ากับหลังจากนี้ต้องปรับช่องทางออนไลน์ ให้ผสานกับเครือข่ายค้าปลีกดั้งเดิมของบริษัทให้กลายเป็น Omni-Channel ที่สมบูรณ์แบบให้ได้เร็วที่สุด และสร้างภาพให้กลุ่มเซ็นทรัลเป็นศูนย์รวมความต้องการของผู้บริโภคตามความหมายของแบรนด์
“เมื่อก่อนเซ็นทรัลรู้มากกว่าลูกค้า แต่ปัจจุบันลูกค้ารู้มากกว่าเรา แค่นี้ถ้าตัวเซ็นทรัลไม่ปรับ พวกเขาก็คงหนีไปซื้อช่องทางอื่น ไม่วนมาใช้บริการค้าปลีก หรือบริการต่างๆ ของเราที่มีทั้งโรงแรม และร้านอาหาร รวมถึงแบรนด์สินค้าต่างๆ แน่นอน โดยเรื่องที่เริ่มต้นได้เร็วที่สุดคือเรื่องการปรับพนักงานยุคดั้งเดิม ให้เข้าใจโลกดิจิทัลมากขึ้น พร้อมกับรับพนักงานรุ่นใหม่เข้ามาผสมผสาน และยังลงทุนระบบไอทีต่างๆ อีกกว่า 10,000 ล้านบาท/ปี ที่สำคัญยังเตรียมพัฒนาแพลตฟอร์ม Logistic เพื่อเดินหน้าสู่โลก E-Commerce เต็มรูปแบบ”
5 ปี ยอดขายออนไลน์ต้อง 15% แต่ห้างร้านก็ยังไม่ทิ้ง
สังเกตจากการเติบโตของ Amazon และ Alibaba สองยักษ์ใหญ่ E-Commerce โลก ต่างเข้ามารุกตลาดค้าปลีกแบบดั้งเดิม แสดงให้เห็นถึงโอกาสของธุรกิจนี้ยังมีอยู่ ทำให้ทางกลุ่มยังลงทุนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 45,000 ล้านบาท เพื่อเปิดห้างสรรพสินค้าใหม่ในไทย 6 แห่ง เช่นเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา และเซ็นทรัลพลาซ่า มหาชัย ส่วนในต่างประเทศจะก็ยังลงทุนเหมือนเดิม เช่นสร้าง La Rinascente Roma ห้างสรรพสินค้าระดับ Hi-End ในอิตาลีช่วงเดือนส.ค. 2560
นอกจากนี้เงินลงทุน 45,000 ล้าน ยังถูกใช้พัฒนาธุรกิจโรงแรมเครือ Centara เพิ่มอีก 3 แห่ง เช่นในประเทศกาตาร์ และโอมาน รวมถึงการรุกธุรกิจคอนโดมีเนียมที่เชียงราย, เชียงใหม่ และนครราชสีมา และยังใช้เพื่อปรับปรุงสาขาดั้งเดิมด้วย โดยปี 2560 กลุ่มเซ็นทรัลคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 3.82 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ราว 14% โดยถ้าเจาะไปที่ช่องทางการจำหน่ายสินค้า และบริการผ่านออนไลน์ปัจจุบันยังคิดเป็นเพียง 1% ของยอดขายทั้งหมด แต่เชื่อว่าภายใน 5 ปีจะเติบโตขึ้นเป็น 15% ได้
สถานทูตไม่เคลียร์ แต่เข้าร่วมพัฒนาที่โรงแรมดุสิตแล้ว
หลังจากมีกระแสข่าวว่ากลุ่มเซ็นทรัลเตรียมเจรจาเข้าซื้อที่สถานทูตอังกฤษ ทศ ยืนยันว่า ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่ได้เปิดเผยถึงเรื่องการเข้าร่วมพัฒนาโครงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (Mixed-Use Development) ประกอบด้วยโรงแรม, เรสซิเดนซ์, ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน บนที่ดินบริเวณหัวมุมถนนสีลมและถนนพระราม 4 กรุงเทพมหานคร ว่าถือเป็นเรื่องดีที่โรงแรมดุสิตที่เป็นโรงแรมเก่าแก่ของประเทศไทยไว้ใจให้บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการนี้ให้เกิดขึ้น
สรุป
การปรับตัวของผู้ทำธุรกิจค้าปลีกนั้น ไม่ใช่แค่จำหน่ายสินค้าออนไลน์แล้วจะรอด เพราะต้องปรับความคิด และกลยุทธ์การบริหารให้เข้ากับโลกดิจิทัลมากขึ้นด้วย เช่นกลุ่มเซ็นทรัลที่พร้อมลงทุนเรื่องนี้ ขณะเดียวกันปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเกิด เพื่อเชื่อมโยงความต้องการของผู้บริโภคบนโลกออฟไลน์เข้าด้วยกัน และเมื่อทุกคนทำออนไลน์พร้อม ไทยก็จะกลายเป็น Omni-Channel เต็มรูปแบบ
อ้างอิง // รายละเอียดการร่วมพัฒนาพื้นที่กับดุสิตธานี
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา