วิกฤตชิปขาดแคลนอาจสร้างปัญหาให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในช่วงแรก แต่เมื่อปรับตัวได้ ผู้ผลิต และดีลเลอร์ ต่างฟันกำไรมากกว่าเดิม ผ่านการผลิตรถยนต์น้อย เน้นผลิตรุ่นที่ขายได้จริง ๆ และไม่ต้องเฉือนเนื้อทำโปรโมชันเพื่อจูงใจมากนัก
แบรนด์รถยนต์เริ่มปรับตัวได้ในวิกฤตนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันค่ายผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มเน้นการผลิตรถยนต์รุ่นที่มีความต้องการสูง เช่นกลุ่มรถกระบะ และ SUV รวมถึงเน้นไปที่รุ่นที่ขายได้แน่นอน เมื่อประกอบกับกำลังผลิตที่ลดลงผ่านวิกฤตชิปขาดแคลน ทำให้อัตราส่วนกำไรในการขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตดังกล่าว
ขณะเดียวกันฝั่งดีลเลอร์ขายรถยนต์ที่ปกติต้องรับรถยนต์หลายรุ่นมาจำหน่าย แต่ภายใต้วิกฤตนี้ ดีลเลอร์รถยนต์ในสหรัฐอเมริกาได้รถยนต์เฉพาะรุ่นที่ขายได้แน่นอนตามที่ผู้ผลิตคาดการณ์ไว้ ทำให้ดีลเลอร์ไม่จำเป็นต้องทำโปรโมชันต่าง ๆ เพื่อจูงใจเหมือนเดิม จึงไม่แปลกที่ดีลเลอร์รถยนต์จะทำกำไรได้มากขึ้นเช่นกัน
ดีลเลอร์รายหนึ่งแจ้งว่า สามารถทำกำไรได้มากกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/คัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ และอาจพุ่งไปถึง 10,000 ดอลลาร์/คัน ในกลุ่มรถกระบะ และ SUV ที่ราคาอยู่ราว 1 แสนดอลลาร์ ที่สำคัญระยะเวลาการปิดการขายยังเหลือแค่ 52 นาที เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติที่เฉลี่ย 4 ชม.
เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลบวกให้กับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ และกลุ่มนักลงทุน เพราะสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตภายใต้วิกฤต แต่ฝั่งผู้บริโภคอาจต้องเผชิญกับราคาที่ค่อนข้างสูง และมีรุ่นให้เลือกไม่มาก ทั้งยังเป็นไปได้ที่กลยุทธ์ดังกล่าวของค่ายผู้ผลิตรถยนต์จะเดินหน้าต่อหลังวิกฤตชิปขาดแคลนสิ้นสุด
สรุป
ในตลาดสหรัฐอเมริกามีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ และดีลเลอร์ปรับตัวได้ในวิกฤตชิปขาดแคลน ส่วนในประเทศไทย ต้องติดตามดูกันว่า ช่วงปลายปีที่มีงาน Motor Expo ค่ายรถยนต์ และดีลเลอร์จะอัดโปรกันหนักหรือไม่ เพราะถ้าไม่ก็ชัดเจนเลยว่า ไม่ต้องอัดโปรโมชันเยอะ ความต้องการรถยนต์ใหม่ก็ยังมีอยู่
อ้างอิง // Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา