การซื้อกิจการบริษัทยาของ Bristol-Myers Squibb ซื้อกิจการของ Celgene เพื่อต่อยอดการเติบโตด้วยมูลค่าสูงถึง 2.38 ล้านล้านบาท
อภิมหาดีลรับต้นปี เมื่อ Bristol-Myers Squibb ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยารักษาโรคประกาศเข้าซื้อกิจการของ Celgene ผู้ผลิตยารักษาโรคมะเร็ง ด้วยมูลค่าถึง 74,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้พรีเมี่ยมมากถึง 53% สำหรับการซื้อกิจการครั้งนี้จะใช้เงินสดส่วนหนึ่งในการเข้าซื้อกิจการและใช้วิธีแลกหุ้นอีกส่วนหนึ่ง
ก่อนหน้าที่จะควบรวมกิจการ Celgene ประสบปัญหาคือหุ้นของบริษัทตกมากถึง 40% เนื่องจากบริษัทพึ่งพารายได้จากยา Revlimid ซึ่งเป็นยารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง เฉลี่ยผู้ที่รักษาด้วยยานี้ต้องจ่ายประมาณ 200,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ทำให้ยาตัวนี้ทำรายได้ 2 ใน 3 ของรายได้บริษัท อย่างไรก็ดียาตัวนี้กำลังที่จะหมดสิทธิบัตรคุ้มครองในการผลิต ซึ่งหลังจากนี้บริษัทอื่นๆ ก็สามารถผลิตยานี้ได้เช่นกัน
สำหรับ Bristol-Myers Squibb การซื้อ Celgene ทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้มากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้นักลงทุนได้ตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทจะเติบโตต่อไปได้อย่างไรในอนาคต นอกจากนี้ยารักษาโรคมะเร็งอีกตัวที่ชื่อว่า Opdivo ก็ประสบปัญหาเจอคู่แข่งคือ Keytruda จากบริษัท Merck ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญรายใหญ่
การควบรวมกิจการครั้งนี้ทำให้ Bristol-Myers Squibb สามารถผลิตยารักษาโรคมะเร็งต่างๆ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ หรือแม้แต่โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ซึ่งยาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นยาเฉพาะ และมีราคาที่แพงมาก
ความน่าสนใจของการซื้อกิจการยาของ Bristol-Myers Squibb ครั้งนี้คือ มูลค่าในการซื้อกิจการครั้งนี้เท่ากับ 1 ใน 2 ของมูลค่าการซื้อกิจการบริษัทยาในปี 2018 ที่ผ่านมา และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีของการซื้อกิจการบริษัทยารักษาโรคด้วย ทำให้ในอนาคตการควบรวมกิจการของบริษัทยาเหล่านี้อาจต้องให้ค่าพรีเมี่ยมที่มากกว่าเดิมมหาศาล ก่อนหน้านี้ Takeda พึ่งซื้อกิจการ Shire ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารักษาโรครายใหญ่ด้วยมูลค่า 1.96 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ถ้าหากบริษัทใดเกิดล้มดีลนี้ขึ้นมา ฝ่ายที่ล้มดีลนี้จะต้องจ่ายค่าเสียหายอีกประมาณ 74,000 ล้านบาทอีกด้วย
ที่มา – New York Times, Bloomberg, Fortune
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา