ปัญหาเศรษฐกิจ-การเมืองของอังกฤษ โดยเฉพาะประเด็น Brexit ที่ส่งผลสะเทือนทางการเมือง จนต้องเปลี่ยนตัวผู้นำจาก เทเรซา เมย์ ที่พยายามเจรจาเรื่อง Brexit กับสหภาพยุโรป กลายมาเป็น บอริส จอห์นสัน ที่ประกาศดัน Brexit เต็มตัว และมีโอกาสสูงที่จะออกจากยุโรปแบบไม่มีข้อตกลงใดๆ (No Deal) ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ จึงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายจากสูญญากาศทางกฎระเบียบที่เคยมีในยุคเข้าร่วม EU อย่างแน่นอน
เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษจึงอ่อนค่าลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2019 และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2/2019 เติบโตลดลง 0.2% จากช่วงเดียวกันปี 2018 ส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าหนักเข้าไปอีก
ล่าสุดเงินปอนด์มีมูลค่าเท่ากับ 36.64 บาท (ข้อมูล ณ 11 สิงหาคม 2562) ถือว่าลดลงจากเมื่อต้นปี 2562 ที่แกว่งตัวอยู่ในระดับ 40-41 บาทมาโดยตลอด และอาจเป็นเรื่องที่เราไม่เคยจินตนาการถึงด้วยซ้ำ เพราะในสมัยหลังวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2540 เงินปอนด์มีมูลค่าถึง 70 บาท
หากเทียบกับสกุลเงินยูโร เงินปอนด์มีมูลค่าเพียง 1.07 เท่าของเงินยูโรเท่านั้น เรียกได้ว่าลงมาจนเกือบมีค่าเท่ากับเงินยูโรแบบ 1 ต่อ 1 แล้ว
ภาวะความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจของอังกฤษ ส่งผลให้เริ่มเกิดเสียงเตือนแล้วว่า GDP ของอังกฤษอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession หรือ GDP ติดลบ) ได้ในไตรมาสหน้า
Bob Kerslake สมาชิกวุฒิสภาของอังกฤษ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เตือนว่า เงินปอนด์จะอ่อนค่าลงอีกเรื่อยๆ และมีโอกาสที่ปอนด์จะมีมูลค่าเท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันเงิน 1 ปอนด์มีมูลค่าประมาณ 1.20 ดอลลาร์ ถือว่าลดลงมากจากเมื่อต้นปีที่มีมูลค่าราว 1.30 ดอลลาร์
Kerslake ยังให้ความเห็นว่าธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) จะต้องออกมาตรการต่างๆ เช่น ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อหยุดการอ่อนค่าของสกุลเงินปอนด์ให้ได้ เพราะถ้าหากอังกฤษต้องออกจาก EU แบบ No Deal จริงๆ และความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินถดถอย ก็จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ตามมาอีกมาก เช่น เงินเฟ้อ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาขึ้น
ข้อมูลจาก Business Insider, Daily Express
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา