วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทย 3 อย่างที่ประเทศไทยเหลือเวลาไม่มากในการแก้ปัญหานี้ เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทยในระยะยาว
วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยประจาปี 2563 ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง “Restructuring the Thai Economy” โดยได้กล่าวถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยทั้ง 3 ด้าน ซึ่งปัญหาต่างๆ ต้องแก้ไขด้วยการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเรื่องนี้จะกล่าวมาหลายครั้งก็ตาม
ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้านที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้กล่าวถึง ได้แก่
1. ด้านผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับจุลภาคนั้นธุรกิจไทยจํานวนมากทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรมีผลิตภาพต่ำ ซึ่งมีเหตุผลมาจากการขาดแรงจูงใจและแรงกดดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม ต้องเผชิญอุปสรรคในการพัฒนาทักษะและ การเข้าถึงเทคโนโลยี
ขณะเดียวกันการผลิตและห่วงโซ่อุปทานในหลายอุตสาหกรรมถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ขาดการแข่งขันกันระหว่างธุรกิจอย่างจริงจัง ทําให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อาจจะมีนวัตกรรมหรือแนวคิดใหม่ ๆ ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดเพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หรือแม้แต่รัฐวิสาหกิจที่เป็นเจ้าตลาดอยู่เดิมได้
ขณะที่ในระดับมหภาค โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการผลิตและบริการแบบดั้งเดิมอยู่มาก ในขณะที่การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสําหรับโลกใหม่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทําให้บทบาทของผู้ผลิตไทยในห่วงโซ่อุปทานยังจํากัดอยู่ในกิจกรรมการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ในขณะที่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเฉพาะที่เน้นการวิจัยและพัฒนาและกิจกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นฐานยังไม่พัฒนาอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีพื้นฐานดี ได้เปรียบประเทศอื่นในหลายอุตสาหกรรม
2. เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกันตำ่ ขาดความสามารถในการรับมือกับภัยต่าง ๆ
ในระดับจุลภาค ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจไทยมีความเปราะบางทางการเงิน ครัวเรือนและธุรกิจ จํานวนมากโดยเฉพาะ SMEs มีข้อจํากัดในการเข้าถึงการออมและสินเชื่อ ทําให้ไม่มีแหล่งเงินสํารองไว้ใช้ในยามวิกฤติ รวมท้ังไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มจากสถาบันการเงินในระบบได้ในสถานการณ์ที่จําเป็นเร่งด่วน ขณะที่ทางด้านแรงงานและ
ผู้ประกอบการจํานวนมากยังอยู่นอกระบบ ไม่มีกลไกของภาครัฐที่จะดูแลได้อย่างทั่วถึง แรงงานเหล่านี้ยังมีข้อจํากัดด้านทักษะและความสามารถในการปรับตัวเมื่ออาชีพท่ีทําอยู่เดิมได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่คาดคิด
ในระดับมหภาค โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพิงเศรษฐกิจต่างประเทศมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งออกสินค้าและบริการเป็นเครื่องจักรสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่การพึ่งพิงดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย ทําให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางและได้รับผลกระทบรุนแรงในยามที่เศรษฐกิจโลกสะดุดลง จะเห็นได้จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ติดลบ สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศจากวิกฤต COVID-19 ครั้งนี้
นอกจากนี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังมองว่าปัญหาดังกล่าวนั้นเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเพราะโลกจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงความไม่แน่นอนในมิติใหม่ ๆ ที่มีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น สภาวะโลกร้อน ภูมิอากาศแปรปรวน ฯลฯ
3. ผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยกระจุกตัวสูง มีความเหลื่อมล้ำ
คนไทยต้องเผชิญความเหลื่อมล้ำทางโอกาสตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา โดยเด็กที่เกิดจากพ่อแมที่มีความรู้น้อย มีทุนทรัพย์น้อย มักจะมีน้ําหนักตำ่กว่าเกณฑ์ตั้งแต่แรกเกิด เมื่อโตขึ้นมาก็มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา บริการสุขภาพ และทรัพยากรต่าง ๆ แตกต่างกัน โดยเด็กจากครอบครัวยากจนมีโอกาสเข้าศึกษาต่อใน ระดับอุดมศึกษาเพียง 5%
ขณะท่ีเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะดีเกือบทั้งหมดมีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ความเหลื่อมล้ำในช่วงปฐมวัยนี้ได้ส่งผลต่อไปยังโอกาสในการทํางาน การประกอบกิจการ และรายได้ที่แตกต่างกัน ความได้เปรียบเสียเปรียบยังสั่งสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดช่วงอายุ และส่งผ่านต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานอีกด้วย
โดยความเหลื่อมล้ำสูงในมิติต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจ ในภาคครัวเรือน ประชากรที่มีรายได้สูงสุด 1% แรกของประเทศ มีรายได้รวมกันถึง 20% ของรายได้ท้ังหมดของประชากรท้ังประเทศ ส่วนในภาคการผลิตผู้ประกอบการรายใหญ่ท่ีสุด 5% ครองส่วนแบ่งรายได้ถึง 85% ของรายได้จากการผลิตนอกภาคเกษตรท้ังหมด
ซึ่งความเหลื่อมล้ำเหล่านี้เป็นทั้งอาการและสาเหตุของปัญหาที่นําไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ทางสังคมอีกมาก นอกจากนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังกระจุกตัวเชิงพื้นที่สูง ผลผลิตมวลรวมรายจังหวัดต่อหัวของจังหวัดที่สูงสุด สูงกว่าจังหวัดที่ตำ่ที่สุดถึง 18 เท่า
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังได้กล่าวว่า เราไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เกิดผลได้จริง ชีวิตวิถีใหม่ และธุรกิจวิถีใหม่หลัง COVID-19 จะต่างไปจากเดิมมาก การแข่งขันจะสูงขึ้นเพราะทั้งโลกมีกําลังการผลิตส่วนเกินอยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจไทยต้องสามารถจัดสรรโยกย้ายทรัพยากรไปสู่ธุรกิจที่มีผลิตภาพสูงให้ได้ ต้องเน้นที่การสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามลดการพึ่งพิงภาคเศรษฐกิจใดภาคเศรษฐกิจหนึ่งมากจนเกินไป รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการกระจายทรัพยากรและกิจกรรม ทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีผลิตภาพสูงขึ้น มีภูมิคุ้มกันดีขึ้น และมีความเหลื่อมล้ำลดลง เป็นเรื่องจําเป็นเร่งด่วน สําหรับทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจาก COVID-19 และการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทยในระยะยาว
สำหรับข้อเสนอของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในการแก้ปัญหาที่ต้องคำนึงถึงประกอบไปด้วย
- การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นต้องสอดคล้องกับทิศทางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
- การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงถ้าเราไม่สามารถย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจหนึ่งไปสู่อีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งได้ จึงจำเป็นต้องลดอุปสรรคในการโยกย้ายทรัพยากร
- ท้องถิ่นต่างจังหวัดจะต้องเป็นหนึ่งเป้าหมายสาคัญของการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังได้เน้นย้ำว่า สำหรับประเทศไทยนั้นมีเวลาไม่มาก ทรัพยากรของท้ังภาครัฐและภาคเอกชนกําลังร่อยหรอลง ขณะเดียวกันประเทศไทยได้ถกเถียงแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในหลายเวทีต่อเนื่องกันมาจนหลายแนวคิดตกผลึก
“คําถามที่สําคัญของเวลานี้ จึงไม่ใช่แนวคิดว่าจะปรับโครงสร้างไปในทิศทางใด แต่จะต้องเน้นว่า ทําอย่างไร การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจึงจะเกิดได้จริง” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้กล่าวทิ้งทายไว้
โดยปาฐกถาฉบับเต็มสามารถอ่านได้ที่นี่
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา