เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยความคืบหน้าในมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน (ที่เคยแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้เมื่อ 21 ก.ค. 2023) ซึ่งจะใช้ยกระดับมาตรฐานธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ตลอดวงจรหนี้ โดยมีเป้าหมายให้หนี้ในภาพรามลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 80% จากปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 90% ของ GDP
รณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนขึ้นจึงเหมาะสมที่จะมีมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างตรงจุดและยั่งยืน โดยจะเน้นดูแลหนี้ 4 กลุ่ม ได้แก่
- หนี้เสีย ให้สามารถแก้ไขได้
- หนี้เรื้อรัง ให้มีทางเลือกปิดจบหนี้ได้
- หนี้ใหม่ ให้มีคุณภาพ ไม่กลายเป็นปัญหาในอนาคต
- หนี้นอกระบบ ให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะเข้ามากู้ในระบบได้
ทั้งนี้จะมี 4 มาตรการหลัก ได้แก่
- มาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม หรือ responsible lending จะมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2024
- มาตรการการดูแลหนี้เรื้อรัง หรือ persistent debt จะมีผลบังคับใช้ 1 เม.ย. 2024
- มาตรการการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ หรือ risk-based pricing: RBP จะเริ่มการทดสอบในโครงการ Sandbox ช่วงไตรมาส 2/2024 (อยู่ระหว่างพิจารณา)
- มาตรการการกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ debt service ratio: DSR คาดว่าจะเริ่ม 1 ม.ค. 2025 โดยต้องประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย (อยู่ระหว่างพิจารณา)
ทั้งนี้ การจัดทำมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ธปท. ได้หารือกับภาคส่วนต่างๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ เพื่อออกแบบมาตรการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกหลักการ และครบวงจร ซึ่งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้สำเร็จและยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความตั้งใจจริงของทุกหน่วยงานในการร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ให้เห็นผล เพื่อร่วมกันสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการปรับพฤติกรรมของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป”
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารได้บรรจุการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยในแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ของสมาคมธนาคารไทย ตั้งแต่ปี 2022 และรวมถึงให้ความร่วมมือกับ ธปท. อย่างต่อเนื่อง ช่วงที่เกิด COVID-19 ยังมีมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เช่น การเสริมสภาพคล่องแก่ลูกหนี้ผ่านมาตรการ Soft Loan และสินเชื่อฟื้นฟู การแก้หนี้เดิมผ่านมาตรการปูพรมในช่วงแรก และมาตรการเฉพาะจุดตามแนวทางการแก้หนี้ระยะยาวและโครงการพักทรัพย์พักหนี้
โดย ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2023 มีลูกหนี้ที่ยังอยู่ภายใต้การช่วยเหลือของธนาคารพาณิชย์ จำนวน 2 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 1.88 ล้านล้านบาท จากยอดหนี้ที่เคยสูงสุด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2021 จำนวน 6.12 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 4.2 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ การจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของสมาคมธนาคารไทยด้านความยั่งยืน (sustainability) ตามหลักการ 5 ข้อ ได้แก่
- การมีความรู้ความเข้าใจในการกู้ยืม (healthy borrowing)
- การแข่งขันแบบเสรีไม่ผูกขาด (open competition) ลูกหนี้ใช้บริการสินเชื่อและเปิดเผยข้อมูลโดยสมัครใจ
- ความโปร่งใสและเท่าเทียมระหว่างผู้ให้สินเชื่อ (level playing) ทุกกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งธนาคาร Non-bank และสหกรณ์อยู่บนกฎกติกาที่เท่าเทียมกัน
- ความยุติธรรม (fairness) อัตราดอกเบี้ยต้องสะท้อนความเสี่ยงที่เป็นจริง ลดภาระลูกหนี้ดีที่ต้องแบกภาระลูกหนี้ที่ไม่ดี
- ความครอบคลุมและเข้าถึง (inclusion) สามารถนำข้อมูลทางเลือกมาส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ
วิทัย รัตนากร ประธานสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของสถาบันการเงินของรัฐส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อยที่มีความเปราะบาง เช่น กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและเกษตรกรที่มีรายได้ค่อนข้างน้อยและมีความไม่แน่นอนสูง มีกันชนทางการเงินจำกัด และกลุ่มข้าราชการที่แม้มีรายได้มั่นคงแต่ค่อนข้างน้อย อาจไม่เพียงพอรองรับภาระทางการเงินที่ต้องดูแลครอบครัว
ในช่วงที่ผ่านมา สมาคมสถาบันการเงินของรัฐและสมาชิกให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเต็มที่ ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิด มาตรการขยายระยะเวลาชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้เรื้อรัง ทางสมาคมฯ จะให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไปลงมาเหลือเพียงไม่เกิน 15% ต่อปี จะช่วยให้ลูกหนี้จ่ายเงินต้นได้มากขึ้น ปิดจบหนี้ได้โดยเร็ว
อธิป ศิลป์พจีการ รองประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการ ธปท. อย่างเต็มที่ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของ Non-bank เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยและเปราะบางกว่าลูกค้าของธนาคารเช่น พนักงานประจำที่มีเงินเดือนค่อนข้างต่ำ พ่อค้าแม่ค้าที่มีหลักฐานทางการเงินจำกัดและต้องใช้ข้อมูลทางเลือกในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ
ด้วยลักษณะเฉพาะของลูกหนี้กลุ่มนี้ ที่มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนค่อนข้างจำกัด ทำให้สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียนเป็นสินเชื่อที่เหมาะกับความต้องการ แต่ด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาวของการผ่อนชำระขั้นต่ำที่จำกัด ทำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นหนี้เรื้อรังค่อนข้างสูง
ทางชมรมฯ จึงพร้อมให้ความรู้และนำเสนอทางเลือกเพื่อช่วยเหลือให้ลูกหนี้ที่มีความตั้งใจสามารถปิดจบหนี้ โดยจะเริ่มจากลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน
ฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ในส่วนของหนี้เกษตรที่เป็นปัญหาสะสมมาต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือกลุ่มนี้ แต่ด้วยปัญหาทางด้านรายได้ส่งผลต่อการชำระหนี้ของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะปัญหาหนี้เรื้อรังที่แม้จะเป็นสินเชื่อที่มีงวดจ่ายชำระชัดเจน (term loan) เนื่องจากการพักชำระเงินต้นจากเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ผลผลิตได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ลูกหนี้เกษตรกรจ่ายชำระเฉพาะดอกเบี้ยและไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นเพื่อปิดจบหนี้ได้
ดังนั้น ธ.ก.ส. ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางดูแลหนี้เกษตรกรในแต่ละกลุ่ม โดยจะให้ความสำคัญกับทั้งกลุ่มเกษตรกรที่ยังพอมีศักยภาพ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ให้ตรงกับศักยภาพครัวเรือนมากขึ้น จูงใจให้เกษตรกรชำระหนี้ได้มากขึ้นและบ่อยขึ้น
สำหรับกลุ่มเกษตรกรที่เป็นหนี้เรื้อรังและสูงอายุ ธ.ก.ส. ได้จัดทำ “โครงการสินเชื่อแทนคุณ” เพื่อจูงใจให้ทายาทมารับภาระหนี้ต่อและเป็นการรักษาทรัพย์สินให้คงอยู่กับครอบครัว และมาตรการลดภาระหนี้และดอกเบี้ยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรกลุ่มนี้สามารถปิดจบหนี้ได้
ที่มา – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
อ่านเพิ่มเติม
- กระทรวงการคลังปรับลด GDP ไทยปี 2023 เหลือ 3.5% จากเดิม 3.6%
- ธ.ก.ส. เปิดตัว “สินเชื่อแทนคุณ” วงเงิน 20,000 ล้านบาท ให้ทายาทกู้ปิดหนี้จากรุ่นใหญ่ แก้ปัญหาผู้กู้สูงวัย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา