คุกกี้ฟีเวอร์! BNK48 เตรียมฟันพรีเซ็นเตอร์รวม 10 ตัวในปีนี้

BNK48 เตรียมรับงานพรีเซ็นเตอร์ 10 ตัวในปีนี้ ค่าตัวตั้งแต่หลักล้านไปจนถึงหลักสิบล้าน แต่กระจายงานให้ทุกคน กลายเป็นกระแสที่นักการตลาดต้องลงมาจับเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค

จากโอตะ สู่กระแสหลัก

ปรากฏการณ์ความนิยมของวงไอดอล BNK48 สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในวงการการตลาดไม่น้อย จากความนิยมแค่กลุ่มโอตะ สู่ความนิยมระดับแมสมากขึ้น จนกลายเป็นที่สนใจของแบรนด์ใหญ่ต่อยอดเป็นพรีเซ็นเตอร์ช่วยสร้างแบรนด์

BNK48 ได้เปิดเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 เป็นเวลาเกือบ 1 ปีเต็มแล้ว บริหารงานโดย “บริษัท บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท ออฟฟิศ จำกัด” ด้วยการลงทุนของโรส อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ (RAM) 90% และ AKS (ประเทศญี่ปุ่น) 10%

โดยผู้บริหารหลัก “จิรัฐ บวรวัฒนะ” เป็น CEO ของบีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท ออฟฟิศ และ ณัฐพล บวรวัฒนะ หรือรู้จักกันดีในนาม “จ็อบซัง” ผู้จัดการวง BNK48

จ็อบซัง ผู้จัดการวง BNK48

BNK48 เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรก “Aitakatta -อยากจะได้พบเธอ” ได้รับเลือกเป็นเพลงประกอบซีรีส์ “Project S The Series” เรื่อง “Shoot! I Love You” จากค่าย GDH ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่ 2 ที่ทางค่ายอยากทำให้แมสขึ้น จึงเลือกเพลง “Koisuru Fortune Cookie-คุกกี้เสี่ยงทาย” ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง

ส่วนหนึ่งมาจากเพลงที่มีความน่ารัก ติดหู และกระบวนการตลาดที่ดีจนส่งผลให้วันนี้ BNK48 เข้าสู่กระแสหลักเต็มตัว แถมต่อยอดสู่การเป็นอาวุธทางการตลาดให้แบรนด์เลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือเลือกมาออกอีเวนท์แบบถี่ยิบชนิดที่ว่างานเปิดตัวอะไรที่ต้องการกระแส ต้องมีชื่อ BNK48 อยู่ในลิสต์ เบียดดาราตัวท็อปๆ ไปได้ในทันที

ปีนี้ต้องมีพรีเซ็นเตอร์ 10 แบรนด์

ถ้าดูตามหน้าสื่อในตอนนี้จะเห็นว่า BNK48 ได้รับงานพรีเซ็นเตอร์มากขึ้น ล้วนแล้วเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ตอนนี้สัดส่วนรายได้จากพรีเซ็นเตอร์เกือบจะเท่าๆ กับรายได้สินค้าเมอร์เชนไดร์สแล้ว

มีโอกาสได้พูดคุยกับ “จ็อบซัง” ถึงกระบวนการบริหารงานพรีเซ็นเตอร์ของวง มีการเกริ่นเลยว่าปีนี้จะต้องมีพรีเซ็นเตอร์ให้ได้ 10 แบรนด์ และใกล้ปิดดีลครบแล้วด้วย

พรีเซ็นเตอร์ฟูจิฟิล์ม

ตอนนี้มี 4 แบรนด์ที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ได้แก่ True Move H, FUJIFILM, AP Honda และร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ มีที่กำลังปิดดีลอีก 3 แบรนด์ เป็นกลุ่มสินค้าเครื่องดื่ม และขนม

จ็อบซังบอกว่าครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มสินค้าในชีวิตประจำวันทั้งเครื่องดื่ม ขนม รถมอเตอร์ไซต์ ร้านอาหาร กล้องถ่ายรูป เป็นแบรนด์ที่จับกลุ่มทั้งผู้ชาย และผู้หญิง มีทั้งแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นด้วย เพราะด้วยความที่เป็นวงน้องจากญี่ปุ่น และผู้บริหารรู้จักกันอยู่แล้ว ทำให้พูดคุยกันง่าย โดยที่มีระยะการเซ็นสัญญาตั้งแต่ครึ่งปี จนถึง 1 ปี ส่วนใหญ่ก็จะเต็ม 1 ปี

พรีเซ็นเตอร์ True Move H

“สำหรับสินค้าที่จะไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์จะเป็นในกลุ่มของยาลดความอ้วน หรืออาหารเสริมที่ส่งเสริมให้ลัดขั้นตอนในการทำบางสิ่งบางอย่าง เพราะด้วยวิชั่นหลักของวงจะเน้นเรื่องการพยายามในการทำสิ่งต่างๆ เราถึงเน้นในเรื่องของการฝึกฝนเรียนรู้ของสมาชิกในการทำงานต่างๆ ถ้าสินค้าที่เป็นเรื่องทางลัดในการลดน้ำหนักจะขัดกับภาพลักษณ์อย่างมาก จึงไม่รับงานเด็ดขาด”

กระจายงานให้เท่ากัน เฌอปรางทั้ง 10 แบรนด์ไม่ได้!

แต่ด้วยความวงมีสมาชิกเยอะ มีสมาชิกตัวจริง 16 คน จ็อบซังมีหลักการเลือกรับงาน และกระจายงานให้ทุกคนในวงมีงานพรีเซ็นเตอร์เหมือนกัน ถึงแม้แบรนด์จะต้องการคนเด่นๆ แต่คนเดียวจะรับงานทั้งหมดไม่ได้เด็ดขาด ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบของแบรนด์แรกๆ เหมือนกันที่ได้เลือกก่อน

พรีเซ็นเตอร์ AP Honda

“หลักการเลือกว่าใครเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ไหน จะดูจากไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนว่ามีความชอบอะไร แล้วมีคาแรคเตอร์ตรงกับแบรนด์หรือเปล่า รวมถึงอายุของแต่ละคนด้วยว่าเหมาะกับอะไร และแบรนด์นั้นต้องไม่ขัดกับภาพลักษณ์ของวงด้วย เราประเมินอีกว่าทางแบรนด์มีความสนใจจริงๆ หรือไม่ ถ้ามองเห็นโอกาสก็เดินไปด้วยกัน แต่ถ้าแค่มองเป็นแค่กระแสอย่างเดียวก็คงต้องคุยแนวทางกัน อาจจะอยู่ในรูปของอีเวนต์อย่างเดียวก็ได้”

แบรนด์อาจจะกำหนดสมาชิกคนที่ชอบมา ทางวงก็แนะนำเสริมไปด้วย

“ในแต่ละครั้งจะมีการคุยกับแบรนด์ว่าชอบใครเป็นพิเศษ และทางเราก็จะเสนอว่าสมาชิกคนไหนเหมาะสมบ้าง ก็จะผสมๆ กันทั้งสองฝ่าย มีการดูโอกาสของแต่ละคนด้วย และต้องการกระจายงานให้กับทุกคนในวงให้ครบ คนเดียวไม่สามารถรับได้ทุกงานเด็ดขาด”

ทำไมต้องมี 6 คน?

ในการรับงานพรีเซ็นเตอร์จะมี 2 แพ็คเกจด้วยกัน คือ แพ็ค 6 คน กับแพ็ค 16 คน หรือทั้งวงนั่นเอง ค่าตัวก็ผันไปตามจำนวน สำหรับแพ็ค 6 คนจะอยู่ที่รวมหลักล้านบาท ส่วนแพ็ค 16 คนอยู่หลักสิบล้านบาท แต่ไม่ระบุจำนวนว่าเท่าไหร่ ล้านต้นๆ หรือล้านปลายๆ

เหตุผลที่ต้องเลือกเป็น 6 คน จ็อบซังบอกว่า “เพราะ 6 คนเป็นแพทเทิร์นในการโชว์ เต้นได้เหมาะสม ไม่วุ่นวายเกินไป เพราะเวลาไปงานลูกค้าต้องมีให้โชว์ด้วยอยู่แล้ว”

จาก 4 แบรนด์ที่เปิดตัว มี 3 แบรนด์ที่ใช้แพ็ค 6 คน มีสมาชิกแตกต่างกัน ส่วนยาโยอิใจป้ำใช้แพ็ค 16 คนเป็นแบรนด์แรก

FUJIFILM : เฌอปราง ปัญ เนย มิวสิค โมบายล์ เจนนิษฐ์
AP Honda : อร ก่อน เนย แก้ว น้ำหนึ่ง ตาหวาน
True Move H : เฌอปราง มิวสิค ปัญ เจนนิษฐ์ อร โมบายล์

อีเวนต์ชั่วโมงละหลักแสน

การออกงานอีเวนต์ก็เป็นรายได้ส่วนสำคัญของ BNK48 เช่นกัน จะเห็นว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาได้เห็นหลายงานที่ต้องเลือกวงเพื่อใช้ในการสร้างกระแส เช่น งานอีฟแอนด์บอย, โนเกียที่งานโมบายล์เอ็กซ์โป, งานบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย หรือแม้แต่งานแต่งงานก็มีโชว์เซอร์ไพร์สด้วย!

เรทราคาในการออกงานอีเวนท์แต่ละครั้งอยู่ที่หลักแสนบาท มีแพ็ค 6 คน และ 16 คนเช่นเดียวกับพรีเซ็นเตอร์ แต่ไม่เปิดเผยตัวเลขกลมๆ เป็นเรทราคาที่เพิ่งปรับเพิ่มขึ้นตอนต้นปีที่ผ่านมา

“สำหรับอีเวนต์ตอนนี้สามารถรับงานได้เต็มที่วันละ 3 งาน อาจจะเป็นงานลูกค้าที่จ้าง หรืองานพรีเซ็นเตอร์รวมกัน 2 งาน และงานของทางวงเอง 1 งาน มีการจัดคิวกันว่าใครเหมาะงานไหน ใครสามารถไปงานต่อได้บ้าง”

ความฝันอยากจัดแสดงที่สนามราชมังฯ

จ็อบซังบอกว่าแผนการตลาดในตอนนี้มองเป็นไมล์สโตนหลักๆ 1.สร้างการรับรู้ให้คนรู้จักวงก่อน 2.ออกนอกกรอบกลุ่มแฟนคลับ ต่อยอดด้วยพรีเซ็นเตอร์ 3.สร้างอีเวนต์ให้ใหญ่ขึ้น

“ความฝันอยากจัดการแสดงที่สนามราชมังคลากีฬาสถานที่มีความจุ 60,000 คน ทำให้ตอนนี้ต้องเร่งสร้างฐานแฟนคลับให้มากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จึงเห็นได้ว่าปีนี้ได้ไปต่างจังหวัดมากขึ้นเพื่อขยายฐานแฟนคลับ ที่ญี่ปุ่นก็เคยมีจัดการแสดงที่โตเกียวโดม มีไอเดียมาจากการจัดแฟนมีทเมื่อไม่นานมานี้ที่โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน จุคนได้พันกว่าคน เปิดการแสดง 2 รอบ แต่บัตรขายหมดภายใน 5 นาที เลยคิดว่าคนน่าจะให้การตอบรับดี”

ตอนนี้เธียเตอร์ หรือ The Campus จะสร้างเสร็จต้นเดือนมีนาคมที่เดอะมอลล์บางกะปี ด้วยพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่แสดงโชว์ของสมาชิก ฝึกสอน และมีคาเฟ่ร้านอาหาร มีโชว์แต่ละรอบ สัปดาห์ละ 3 รอบ

จากเดิมมีแค่ตู้ปลา BNK48 Digital Studio ที่ทำในไทยที่แรก ต้องการให้เป็นพื้นที่ให้สมาชิกได้พบปะกับแฟนคลับ และให้ฝึกทักษะในการพูด การเจอแฟนคลับ

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ BNK48 Office แบ่งเป็น 1.พรีเซ็นเตอร์ 2.อีเวนต์ 3.สินค้าเมอร์เชนไดร์ส เช่น โฟโต้เซ็ต ซีดี สัดส่วน 30-40% ลดลงจาก 70% โดยที่มีรายได้จากพรีเซ็นเตอร์ และอีเวนต์มาแทนมากขึ้น

สรุป

– กระแสของ BNK48 ยังมีโอกาสอีกมากในตลาด แต่แบรนดที่จะเลือกจับกระแสนี้ต้องพิจารณาให้ดีด้วยว่าเหมาะสมกับแบรนด์ หรือเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะเป็นแค่การเกาะกระแสเท่านั้น ต้องสะท้อนกลับมาที่ตัวแบรนด์ด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา