สินค้าดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องมี ‘ระบบ’ ถึงจะโตยั่งยืน เปิดเบื้องหลังที่ทำให้ Bluebik กลายเป็นบริษัทที่ปรึกษาแถวหน้าสัญชาติไทย

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนเร็วแทบทุกวัน หลายองค์กรเริ่มต้นด้วยสินค้าและบริการที่ปัง แต่กลับไปไม่ถึงเส้นชัยเพราะ ‘ระบบ’ ไม่พร้อม

คำถามคือ อะไรที่จะทำให้บริษัทไม่ใช่แค่ ‘โตไว’ แต่โตได้ ‘ไกล’ และ ‘ยั่งยืน’

เรื่องนี้ ‘พชร อารยะการกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bluebik Group เล่าอย่างตรงไปตรงมาบนเวที ‘Scale Fast Summit & Expo 2025’ ผ่านประสบการณ์การสร้างบริษัทที่วันนี้ มีพนักงานหลักพัน ขยายสู่หลายประเทศ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ

มีอะไรน่าสนใจบ้าง Brand Inside สรุปให้แล้วในบทความนี้

ต่อให้มีระบบดี ก็ไม่พอ เพราะองค์ประกอบอื่นก็สำคัญ

‘พชร’ เล่าให้ฟังถึงมุมมองการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนว่า หลายคนยังเข้าใจว่า การทำธุรกิจขอแค่มีสินค้าหรือบริการดีๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริง “อาจไม่ใช่”

เพราะหลายครั้งเจอปัญหาเดียวกันคือ ปีแรกของการมีสินค้าที่ดีมาก สร้างรายได้ได้จริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1-2 ปี ธุรกิจเริ่มไปต่อไม่ได้ เจออาการตัน และไม่สามารถสเกลขึ้นได้ ซึ่งเป็นกำแพงสำคัญที่ผู้ประกอบการหลายคนเผชิญ ถ้าไม่มีระบบที่ดี ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้

‘ระบบ’ ที่ดีในมุมมองของเขา เริ่มจากการเข้าใจว่า บริษัทไม่ได้มีแค่สินค้าและบริการ แต่ยังประกอบด้วยองค์ประกอบอื่นๆ โดยเฉพาะ ‘คน’ ที่ถือว่าสำคัญที่สุด

บริษัทคือกลุ่มคนที่มารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ก่อตั้ง ผู้บริหาร ลูกน้อง หรือ outsource ทุกคนคือพลังที่จะผลักดันองค์กร และองค์กรต้องรีดประสิทธิภาพของแต่ละคนออกมาได้มากที่สุด พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมให้เขาอยากอยู่ต่อ ไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ

ที่สำคัญ คือมีเป้าหมายเดียวกัน เดินไปพร้อมกัน สนับสนุนกันและกัน มีกำลังใจที่ดี และร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

จากนั้นคือเรื่อง ‘กระบวนการ’ เพราะแต่ละบริษัทมีวิธีการทำงานไม่เหมือนกัน บางกระบวนการทำซ้ำได้ง่าย บางกระบวนการทำซ้ำได้ยาก ซึ่งถ้าไม่สามารถทำซ้ำได้ การสเกลธุรกิจก็ยากทันที เพราะต้องอาศัยคนพิเศษ พอเปลี่ยนคนแล้วก็ทำซ้ำไม่ได้ การขยายบริษัทจึงมีปัญหา

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันได้ เพราะคู่แข่งก็พัฒนาตลอดเวลา ไม่ได้นั่งเฉยๆ

อีกประเด็นคือ ‘เทคโนโลยี’ ที่ทุกองค์กรต้องพึ่งพามากขึ้น แต่เทคโนโลยีที่ซื้อมาอาจไม่สามารถสเกลได้ เช่น พอลูกค้าเพิ่มขึ้นสิบเท่า ระบบกลับรองรับไม่ไหว หรือขาดความปลอดภัย โดนโจมตี โดนแฮก ระบบล่ม ขาดเสถียรภาพ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัญหาที่ทำให้ธุรกิจไม่สามารถโตได้จริง

นอกจากนี้ ยังต้องมี ‘ข้อมูล’ และ ‘อินไซต์’ ที่นำมาใช้ตัดสินใจ ถ้าเป็นบริษัทที่มีข้อมูลครบ การตัดสินใจจะง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น เช่น รู้ว่าสินค้าตัวไหนไม่ทำกำไร ต้องเลิกทำ ตัวไหนกำไรดี ก็ต่อยอดทำการตลาดเพิ่ม หรือรู้ว่าควรขายในเซกเมนต์ใด และตั้งราคาเท่าไหร่

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้การสเกลง่ายขึ้น การรันธุรกิจง่ายขึ้น และท้ายที่สุดยังช่วยลดความเสี่ยงในการทำผิดพลาด เพราะมีระบบกำกับดูแลภายในที่ดี มีการตรวจสอบ มีธรรมาภิบาล และปฏิบัติตามกฎหมายไม่ให้ผิดพลาด

หน้าที่ขององค์กรคือ ควักศักยภาพของพนักงานออกมาให้ได้มากที่สุด

เมื่อย้อนกลับมาที่เรื่อง ‘คน’ อีกครั้ง ‘พชร’ เล่าว่า Bluebik ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพนักงาน โดยใช้วิธี ‘case interview’ ซึ่งแตกต่างจากการสัมภาษณ์แบบ ‘behavioral’ ที่ถามเพียงว่า ผู้สมัครเป็นใคร และเคยทำอะไรมาบ้าง

แต่ใน case interview จะให้โจทย์ธุรกิจจริง เช่น บริษัทอาหารที่ไม่สามารถสเกลได้ ผู้สมัครต้องตั้งคำถามต่อยอด เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ วิเคราะห์เป็นลำดับ และสรุปคำแนะนำที่ใช้ได้จริง

จุดสำคัญไม่ใช่การหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว เพราะธุรกิจไม่มีคำตอบเดียวอยู่แล้ว แต่คือการดูวิธีคิด โครงสร้างการวิเคราะห์ และการสื่อสาร

เมื่อคัดคนที่ใช่เข้ามาแล้ว สิ่งสำคัญถัดมาคือ ‘การบริหารผลงาน’ หรือ ‘performance management’ เพื่อรีดความสามารถของพนักงานออกมาให้ได้จริง ผ่านการกำหนด KPI หรือ OKR ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท ไม่ใช่ให้รางวัลแบบหว่าน แต่ต้องโยงกับสิ่งที่องค์กรอยากให้เกิดขึ้นจริง

ตัวอย่างที่ชัดคือระบบคอมมิชชันของฝ่ายขาย ที่มักอิงจากยอดขาย แต่จริงๆ เจ้าของบริษัทสนใจกำไรมากกว่ายอดขาย ดังนั้นรางวัลต้องปรับให้สอดคล้อง และแม้ไม่ใช่รางวัลทางการเงินเพียงอย่างเดียว การยอมรับหรือฟีดแบ็กที่ดี ก็เป็นแรงขับเคลื่อนได้เช่นกัน

นอกจากนั้น ยังต้องจัดวางโครงสร้างองค์กรให้คนอยู่ถูกที่ถูกทาง เพราะถ้าจัดผิด ต่อให้เป็นคนเก่งก็ไม่สามารถสร้างผลงานได้เต็มที่ เหมือนการวางทีมฟุตบอลที่ถ้าเอากองหน้าไปยืนกองหลัง ก็อาจกลายเป็นยิงประตูตัวเอง และทั้งหมดนี้เชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

ซึ่ง ‘พชร’ นิยามว่า คือสิ่งที่คนในองค์กรทำตอนหัวหน้าไม่อยู่ วัฒนธรรมแบบนี้สร้างได้จากการ ‘lead by example’ ผู้นำต้องทำให้เห็นก่อน และสามารถวัดได้จากพฤติกรรมต้นทาง ไม่ใช่แค่ผลปลายทาง รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมให้คนรู้สึกว่าเป็น ‘พวกเดียวกัน’

อยากล้มแล้วลุกไว ต้องคุมระบบให้อยู่

‘พชร’ ยังพูดถึงการสร้างองค์กรที่ ‘resilient’ หรือ ‘ล้มแล้วลุกได้ไว’ ว่า เมื่อเจอปัญหาต้องเก็บไว้เป็นองค์ความรู้ ส่งต่อให้คนใหม่ และใช้ปรับปรุงการทำงานต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเจอปัญหาซ้ำ ก็สามารถแก้ไขได้เร็วขึ้น และพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจที่โตไว แต่ระบบหลังบ้านไม่พร้อม เขามองว่าสิ่งที่ต้องทำคือ การเอากระบวนการไปอยู่ในระบบไอที เพราะการทำงานกับมนุษย์ มักมีปัญหาทำตามคู่มือไม่ครบถ้วน

แต่ถ้าอยู่ในระบบจะควบคุมได้จริง ตัวอย่างชัดคือ ระบบ POS ของซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ช่วยให้การทำงานซ้ำ ทำได้อย่างมีมาตรฐาน และขยายสาขาได้ง่ายขึ้น ส่วนในองค์กรเอง ระบบบัญชีหรือ ERP ก็เป็น backbone ที่จำเป็น หากยังทำงานด้วยมือก็จะมีช่องโหว่ รั่วไหล และตรวจสอบไม่ได้

Bluebik เองก็ผ่านเส้นทางนี้มาเหมือนกัน ในช่วงเริ่มต้น ‘พชร’ และพาร์ทเนอร์ยังไม่ได้คิดถึงระบบ คิดแค่ว่าจะเอาตัวรอดให้ได้

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็เจอกำแพง และต้องวางระบบต่างๆ ตั้งแต่การคัดเลือกคน การกำหนดโครงสร้าง การสร้างฟังก์ชัน R&D เพื่อตามเทรนด์ใหม่ ไปจนถึงการเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่บังคับให้ต้องทำระบบข้อมูลและการกำกับดูแลที่เข้มขึ้น ทุกอย่างคือเส้นทางที่ Bluebik ผ่านมา และใช้จริง

พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bluebik Group

อย่าคิดว่าดีแล้ว ธุรกิจต้องพัฒนาเรื่อยๆ

สุดท้าย ‘พชร’ ฝากไว้ว่า การสร้างธุรกิจให้ยั่งยืน ควรคิดถึงสามเรื่องตั้งแต่วันแรก 

  1. ต้องออกแบบให้ธุรกิจสามารถขยายได้จริง ไม่ใช่โตได้แค่ระยะสั้น
  2. ต้องบริหารความเสี่ยงได้รอบด้าน เพราะความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งจากเศรษฐกิจ การแข่งขัน หรือแม้แต่ปัญหาภายในองค์กร
  3. ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งคน องค์ความรู้ สินค้า และต้นทุน ทุกอย่างต้องดีขึ้น ไม่ใช่แค่ปริมาณโตแต่คุณภาพไม่ตาม

และถ้าทำได้ครบทั้งสามข้อ องค์กรก็มีโอกาสเติบโตได้อย่างยั่งยืนจริงๆ

ที่มา: Scale Fast Summit & Expo 2025

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา