แค่ 2 ปี ขยายไป 16 สาขา เจาะกลยุทธ์ ‘BEANS Coffee Roaster’ ในยุคที่ร้านกาแฟเต็มเมือง

ร้านกาแฟอะไรเอ่ย มีเมล็ดให้เลือกมากกว่า 15 ชนิด?

Beans Coffee Roaster

‘BEANS Coffee Roaster’ (BEANS) เป็นร้านกาแฟที่มีสาขามากถึง 16 แห่งทั่วกรุงเทพฯ พร้อมจุดเด่นคือ ‘เมล็ดกาแฟ’ ที่มีให้เลือกหลากหลายชนิด เนื่องจากเริ่มธุรกิจจากการเป็น ‘โรงคั่ว’ เล็กๆ ในทองหล่อมาก่อน

‘นุ้บ – ชนัญดา ทวีสิน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEANS Coffee Roaster เล่าในงาน ‘Secret Sauce Summit 2025’ ว่า อยากให้ร้านกาแฟนี้มีความ “คุ้มค่า คุ้มราคา” จึงออกแบบมาไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเวลาลูกค้าจะสั่ง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้นตอนคือ

  1. เลือกเมนู เช่น อเมริกาโน่ ลาเต้ มอคค่า หรืออื่นๆ
  2. เลือกเมล็ดกาแฟ โดยสามารถเลือกได้เลยว่าต้องการรสชาติประมาณไหน พร้อมมีราคาให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ระดับ Commercial Grade, House Blend ไปจนถึง Specialty

ด้าน ‘กฤต – กฤตธี ธนวิพุธ’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ BEANS Coffee Roaster ก็อธิบายว่า

“เราเป็นโรงคั่วกาแฟ ทำให้เรามีเมล็ดกาแฟที่หลากหลาย และย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตลาด Specialty Coffee กำลังบูม ถ้าเราไปตามห้างชั้นนำทั่วไป ก็จะเห็นว่า ราคากาแฟก็สูง แล้วก็จะปรับขึ้นหมด แต่พอเรามาคั่วกาแฟขายเอง เราเห็นแล้วว่า จริงๆ เมล็ดกาแฟมีถูกมีแพง ทำไมเราต้องแพงเสมอไป?”

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่กาแฟของ BEANS มีให้เลือกหลากหลายทั้งในแง่รสชาติและราคา โดย ‘กฤต’ บอกว่า เมล็ดไหนได้มาถูก ก็สามารถขายในราคาที่ย่อมเยา

แล้วจุดยืนของ BEANS คืออะไร? ทำไมถึงอยู่รอดได้ในตลาดกาแฟที่เขาเรียกกันว่าเป็น ‘Red Ocean’? มาดูกัน

อยู่ทุกโพสิชัน ตอบโจทย์ทุกคน แม้เริ่มจากโรงคั่วเล็กๆ ที่ขายได้แค่วันละ 10 แก้ว

Beans Coffee Roaster
ภาพจาก Facebook: Beansroaster.bkk

จริงๆ แล้ว หากพูดถึง BEANS จะลืมผู้เล่นคนสำคัญอีกคนอย่าง ‘ฟาน – อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์’ ผู้อำนวยการแบรนด์ BEANS ไปไม่ได้เลย เพราะเขาคือคนที่ดูแลผลิตภัณฑ์และการดำเนินงานทุกอย่าง 

ในฐานะที่ ‘ฟาน’ ทำกาแฟมานานกว่า 10 ปี กาแฟก็เหมือนอาหารทั่วไป ที่แปลว่าแต่ละคนจะมีความชอบไม่เหมือนกัน 

“ทุกๆ คนถามว่า BEANS เราวางโพสิชันไหนไว้? ผมบอกว่า เราอยู่ทุกโพสิชัน เราอยู่ทุก tier ของกาแฟ เพราะว่าเราเชื่อในรสชาติของแต่ละคนที่มันไม่เหมือนกัน การที่ BEANS มีเมล็ดให้เลือกเยอะ มันแสดงว่ามันจะตอบโจทย์ว่า ผู้บริโภคกาแฟแต่ละตัวหรือแต่ละคน มีรสชาติที่ตัวเองต้องการ เพราะฉะนั้น การที่เรามีเมล็ดเยอะ มันตอบโจทย์กับทุก segment ของคนที่ดื่มกาแฟ” 

แล้วถ้าถามว่า BEANS คิดได้ยังไงกับการหาเมล็ดมาเยอะๆ เพื่อวางตนเองอยู่ในทุกโพสิชัน? 

ทางกฤตก็ตอบว่า เดิมที ในสมัยที่ทำแค่โรงคั่วกาแฟ ลูกค้าของพวกเขามีทั้งคาเฟ่และโรงแรม ซึ่งมักมี requirement เกี่ยวกับเมล็ดกาแฟที่แต่ละกิจการต้องการอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ BEANS จึงมีสต็อกเมล็ดกาแฟที่หลากหลายเป็นทุนเดิม จนสามารถนำมาวางขายให้ลูกค้าทั่วไปได้

เริ่มจากห้องตาบอดที่ขายได้แค่วันละ 10 แก้ว

Beans Coffee Roaster

ในส่วนของจุดเริ่มต้น ‘นุ้บ’ เล่าว่า สาขาแรกของ BEANS อยู่ตรงโรงคั่วกาแฟเลย ซึ่งเป็น ‘ห้องตาบอด’ ที่ไม่มีทางเข้าจากถนนด้านนอก เพราะทั้งสามคนยังไม่กล้าลงทุนเยอะมากนัก เนื่องจากไม่รู้ว่าลูกค้าจะให้ผลตอบรับแบบไหน

“วันนั้นเรามั่นใจใน product ว่าของเราดี แต่เรายังไม่ได้ชัวร์ว่า พวกคุณจะมองว่าของเราดีเหมือนที่เราคิดหรือเปล่า เราไม่อยากจะไป invest เพราะห้องนี้ค่าเช่า 25,000 แล้ว ถ้าผมอยากได้โลเคชันที่ดี ต้องไปเช่า 2-3 แสนบาท ลงทุนใหม่อีก 10 ล้าน ค่าเครื่องกาแฟอีก 3 ล้าน แล้วเราจะคืนทุนยังไง? ก็เลยคิดว่า เราใช้ resource ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ลงทุนแค่ตกแต่งร้านนิดหน่อย แค่ประมาณ 3 แสนบาท” กฤตบอก

เชื่อไหมว่าในช่วง 10 วันแรกของการเปิดร้าน BEANS สามารถขายได้เพียงวันละ 5-10 แก้วเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากล้าไปต่ออย่างมั่นใจคือ ลูกค้ากลับมาทานซ้ำ

ช่วงเริ่มแรก ทางร้านไม่ได้ทำการตลาดเลย มากสุดอาจแค่แจ้งลูกค้าถึงวิธีการเดินทางและช่องทางการติดต่อ โดยทั้งสามมองว่า มาร์เก็ตติ้งที่ดีคือ ตัวสินค้ามันเอง เพราะเมื่อสินค้าตอบโจทย์ ลูกค้าก็จะปากต่อปากไป ดั่งที่ BEANS เติบโตมาถึงทุกวันนี้

จากห้องตาบอด สู่สาขา 2 ในห้างใจกลางกรุง เพราะสิ่งสำคัญคือการฟังลูกค้า

Beans Coffee Roaster
ภาพจาก Facebook: Beansroaster.bkk

เมื่อเปิดสาขาแรกที่ทองหล่อได้สักพัก ลูกค้าก็เริ่มถามไถ่ว่า ทำไมถึงไม่ไปเปิดในที่ที่เข้าถึงง่ายกว่านี้? ประกอบกับช่วงนั้น ศูนย์การค้า ‘Emsphere’ ชักชวนให้ BEANS ไปเปิดสาขาที่นั่นพอดี จึงเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของสาขา 2 ในห้างใจกลางกรุง

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเปิดสาขาใหม่นั้น ใช่ว่าจะง่ายเสมอไป เพราะทั้งสามต่างมีเกณฑ์ในการตัดสินใจอยู่เช่นกัน โดยต้องดูทั้งเรื่องระยะเวลาการคืนทุน ยอดขายปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าของโลเคชันใหม่ รวมถึงมาตรฐานการเตรียมความพร้อมให้พนักงาน

นอกจากนี้ จากการเปิดสาขาแรก ทั้งสามคนได้บทเรียนว่า ‘การรับฟังฟีดแบคจากลูกค้า’ เป็นสิ่งสำคัญมาก

“สาขาแรก หลักๆ เลยคือ เราใกล้ชิดกับลูกค้ามาก ลูกค้าเดินเข้ามา แล้วเขาก็เดินผ่านตรงโซนออฟฟิศ ซึ่งเราสามคนก็นั่งอยู่ ดังนั้น เราสามารถขอฟีดแบคจากลูกค้าได้ตลอดเวลาเลยว่า วันนี้ทานตัวนี้เป็นยังไง? อยากให้ปรับเปลี่ยนตรงไหน? รสชาติเหมือนเดิมหรือเปล่า? ก็ช่วยทำให้เรา progress ไปข้างหน้าได้ดี” นุ้บกล่าว

ทางฟานก็บอกว่า “เราต้องฟังเสียงลูกค้า เราไม่ได้บอกว่าเราเก่งที่สุด สุดท้ายแล้วคนที่จะบอกเราได้ว่าเราเก่งแค่ไหน คือลูกค้า ถ้าคุณยังไม่ฟังเสียงลูกค้า ถ้าคุณยังไม่เก็บคอมเมนต์ของลูกค้ามาพิจารณาหรือว่ามาปรับเปลี่ยน ไม่นาน คุณก็รอวันพังได้เลย”

ต้องซื่อสัตย์ จริงใจ รับฟังลูกค้า พร้อมขายกาแฟที่ตอบโจทย์ความต้องการทุกคน

Beans Coffee Roaster
ภาพจาก Secret Sauce Summit 2025

เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบัน มีร้านกาแฟเปิดใหม่อยู่เรื่อยๆ จนตลาดกาแฟกลายเป็น ‘Red Ocean’ หรืออุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดและมีความกดดันสูง 

แต่กฤตยังเชื่อว่า หากเราเป็นตัวจริง อยู่ในโลเคชันที่ถูกต้อง พร้อมขายสินค้าที่ดี ยังไงๆ ก็จะมีพื้นที่ให้ทำธุรกิจในวงการนี้ได้

กฤตเล่าว่า คู่แข่งที่เขาจะกลัว คือคนที่ซื่อสัตย์และจริงใจกับลูกค้า เพราะ BEANS เองก็พยายามเป็นคนแบบนั้น

“ผมไม่ใช่กาแฟที่ถูกที่สุด BEANS ไม่ใช่กาแฟที่วิเศษวิโสที่สุด แต่ BEANS จะเป็นกาแฟที่ซื่อสัตย์ จริงใจ และรับฟังลูกค้าทุกคน เพื่อให้คุณแฮปปี้กับเราและอยู่กับเราไปนานๆ”

ฟานยังฝากถึงคนที่อยากเปิดร้านกาแฟเป็นของตนเองว่า “Specialty Coffee คือ new normal ใหม่ของตลาดกาแฟ” เพราะอะไรก็ตามที่คนบอกกันว่าเป็น ‘ความพิเศษ’ ของเมื่อ 5-6 ปีก่อนนั้น ตอนนี้เป็นเพียง ‘มาตรฐาน’ ของร้านกาแฟทั่วไป

“เมื่อไรที่คุณทำต่ำกว่าคำว่า Specialty Coffee นั่นคือคุณช้ากว่าตลาด” ฟานกล่าว 

สำหรับ BEANS คำว่า ‘Specialty’ นั้นหมายถึง การที่ลูกค้าเดินเข้ามา แล้วได้กาแฟดั่งที่พวกเขาต้องการอย่างสมบูรณ์ที่สุด ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ต้องรู้จักรังสรรค์ให้ตรงกับความชอบเฉพาะบุคคลมากขึ้น

ในส่วนอนาคตของ BEANS ในอีก 5 ปีข้างหน้า นุ้บมองว่า เนื่องจากตอนนี้ แบรนด์ขยายตัวค่อนข้างเยอะและเร็ว พวกเขาจึงอยากมั่นใจก่อนว่า สินค้าจะมีมาตรฐานคงที่ในทุกๆ สาขา ดังนั้น จึงอยากโฟกัสที่บุคลากรกับความสม่ำเสมอก่อน

“การทำธุรกิจนี้มันคือเกมยาว ถ้าคุณไม่ได้เปิดเอาเท่ เอาเก๋ นี่มันคือเกมยาว คุณขายกาแฟแก้วหนึ่ง กำไรคุณสมมุติ 30 บาท คุณลงทุนร้านร้านหนึ่ง 7 ล้านบาท คูณเอา 7 ล้านหารด้วย 30 คูณต้องขายกาแฟกี่แก้วถึงจะคืนทุน?” กฤตกล่าว

ส่วนฟานเองก็บอกว่า “คุณต้องมีความหิวกระหาย อาจจะดูโหดร้ายนิดนึง เด็กๆ ถามว่า แล้วถ้าผมไม่หิวทำยังไง? ผมบอกว่า ผมก็จะง้างปากคุณ แล้วจับมันเข้าไป ผมว่า mentality นี้มันต้องทำให้ได้ คือถ้าเราอยากจะโต เรามองตัวเองดีกว่า ทำตัวเองให้แข็งแกร่ง ทำตัวเองให้มีพลังในการก้าวไปข้างหน้า”

BEANS Coffee Roaster พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะโตอยู่ในตลาด Red Ocean แต่ถ้าเรารับฟังลูกค้า ตอบโจทย์พวกเขาได้ พร้อมมีจุดยืนและมายด์เซ็ตที่ชัดเจน เท่านี้ เราก็อาจดีพอให้ต่อสู้ท่ามกลางคู่แข่งมากมาย

แล้วคุณล่ะ กล้าลงไปสู้ในสนามที่แข่งขันกันดุเดือดหรือเปล่า?

ที่มา: Emsphere

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา