เปิดยุทธศาสตร์ “เบตาดีน” ไม่ใช่แค่ยารักษาแผล แต่เป็น Health Care ทุกส่วนในร่างกาย

มุนดิฟาร์มาเปิดเกมรุกในรอบ 29 ปี แตกไลน์สินค้าให้มากกว่ายารักษาแผลในชื่อแบรนด์เบตาดีน แต่ไปกลุ่มครีมอาบน้ำ ล่าสุดออกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและลำคอ เป้าเป็นแบรนด์ฆ่าเชื่อแบบองค์รวมทุกส่วนในร่างกาย

จากดูแลบาดแผล ขยายไปดูแลช่องปาก

พูดถึงแบรนด์ “เบตาดีน” เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างแข็งแรงในเรื่องของยารักษาแผล ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือของ “บริษัท มุนดิฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด)” ถ้าในแง่ของการทำตลาดของแบรนด์เบตาดีน ได้ทำตลาดในไทยได้ 29 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2531 แต่เดิมทำตลาดผ่านดิสทริบิวเตอร์ LF Asia เท่านั้น หลังจากนั้นในปี 2556 ทางบริษัทแม่จึงตัดสินใจเข้ามาทำตลาดเอง มีการเปิดบริษัทและตั้งสำนักงาน ทำให้มีการทำตลาดที่แอคทีฟมากขึ้น มีการออกสินค้าใหม่ๆ ทำให้ในปีนี้เบตาดีนค่อนข้างมีสีสันในตลาด

แต่โจทย์ใหญ่ของเบตาดีนคือตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาแผลไม่มีการเติบโตมากนัก เป็นตลาดเล็กแค่ 250 ล้านบาท และเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคไม่ได้ใช้เป็นประจำ ใช้แค่เมื่อมีบาดแผลเท่านั้น ทำให้เมื่อกลางปีได้แตกไลน์ไปยังกลุ่มสินค้า “ครีมอาบน้ำ” เป็นครั้งแรก ในชื่อแบรนด์ “เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์” วางจุดยืนเป็นครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพ ฆ่าเชื่อต่างๆ

ล่าสุดได้รุกตลาดดูแลช่องปากและลำคอในชื่อแบรนด์ “เบตาดีน โทรตสเปรย์” สเปรย์พ่นปากลดอาการอักเสบในช่องปาก และ “เบตาดีน การ์เกิล” ยาน้ำบ้วนปาก

ตัวโทรตสเปรย์เป็นสินค้าระดับโกลบอลที่มีจำหน่ายมาหลายปีแล้ว ในเอเชียมีจำหน่ายได้ราว 4-5 ปี ในประเทศไทยได้ให้บริษัท ไทยเมจิ ฟาร์มาซิวติคัล จำกัด เป็นผู้ผลิต ก่อนหน้านี้มีทะเบียนชื่อแบรนด์ไอโซดีนอยู่แล้ว

เหตุผลที่เบตาดีนบุกตลาดนี้เพราะตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก และลำคอ (Throat Care) มีการเติบโตต่อเนื่อง มีมูลค่ารวม 750 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 เซ็กเมนต์ ได้แก่ กลุ่มสเปรย์ 350 ล้านบาท เติบโต 17% และกลุ่มลูกอม 400 ล้านบาท ตก 11%

เบตาดีนได้รุกเข้ากลุ่มสเปรย์เพราะมีการเติบโตต่อเนื่อง มีผู้เล่นในตลาดอยู่ 5 ราย มีผู้เล่นใหญ่อยู่รายเดียวคือ คามิโลซาน ครองส่วนแบ่งตลาด 80% ทำให้มีโอกาสในตลาดอยู่ โดยเบตาดีนใช้จุดเด่นด้วยชื่อแบรนด์ที่แข็งแกร่งคนรู้จัก และสินค้ามีตัวยาโพวิโดน ไอโอดีน สามารถฆ่าเชื่อได้ ต่างจากแบรนด์อื่นที่ส่วนใหญ่เป็นการบรรเทาอาการเท่านั้น

วางจุดยืน ดูแลสุขอนามัยทุกวัน

ทำให้กลยุทธ์ของเบตาดีนต่อจากนี้คือมีการแตกไลน์สินค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ แต่ยังคงจุดยืนที่การดูแลสุขภาพ การฆ่าเชื่อ เพราะเป็นแบรนด์ที่เติบโตมาจากยารักษา เพียงแต่ว่าต้องการให้เบตาดีนเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนมากขึ้น

วราวรรณ จันทรสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการแผนกคอนซูมเมอร์ บริษัท มุนดิฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า

ก่อนหน้านี้ที่มีการจำหน่ายผ่านดิสทริบิวเตอร์ทำให้มีการโฟกัสที่ยาใส่แผล แต่เมื่อตั้งบริษัทขึ้นมาได้ 5 ปีในไทย ก็ได้หานวัตกรรมใหม่ๆ ไม่มองหาแต่กลุ่มยา แต่ตั้งเป้าเป็น Health Care ที่ดูแลสุขอนามัยทุกวัน ไม่ปิดกั้นที่เอาสินค้าจากโกลบอล หรือสินค้าที่คิดค้นในโลคอล ทำทุกทางให้มีการเติบโต”

เบตาดีนมีจุดแข็งที่เป็นแบรนด์ที่สตรองอยู่แล้ว แต่เราอยากให้แบรนด์แข็งมากขึ้นไปอีกด้วยการเป็นสินค้าที่มีการฆ่าเชื้อแบบองค์รวม สินค้าใหม่ๆ ก็ยังคงจุดยืนนี้”

สำหรับสินค้าตัวใหม่นี้เบตาดีนหวังกินส่วนแบ่งตลาด 20% ให้ได้ในปีแรก หลังจากที่กลุ่มครีมอาบน้ำเกือบเข้าเป้าแล้ว ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 9% ครองเบอร์ 3 ในตลาด จากที่ตั้งเป้าให้ได้ 10% ภายในสิ้นปี

สัดส่วนรายได้ของมุนดิฟาร์มาแบ่งเป็น กลุ่มคอนซูมเมอร์ 80% ได้แก่ เบตาดีน, ครีมอาบนน้ำ และโทรตสเปรย์ ส่วนกลุ่มยามีสัดส่วนรายได้ 20% โดยในสิ้นปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวม 400 ล้านบาท

สรุป

– เบตาดีนมีการรุกตลาดหนักมากขึ้นด้วยการแตกไลน์กลุ่มใหม่ๆ เพราะตลาดยารักษาแผลเป็นตลาดเล็ก และโตน้อย แต่การแตกไลน์สินค้ายังคงจุดยืนเรื่องการฆ่าเชื้อโรคอยู่ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างแบรนด์ โดยไม่ลืมจุดแข็งของตัวเอง

– แบรนด์เบตาดีนค่อนข้างแข็งแกร่งในไทย เป็นแบรนด์ที่คนรู้จักมาทุกรุ่น การที่แตกไลน์สินค้าย่อมสร้างการรับรู้ได้เร็ว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา