เมื่อคู่แข่งในตลาดร้านอาหาร Bar B Q Plaza ควงคู่ Pizza Hut ออกแคมเปญ “ฟินเว่อร์ ฮัทเจอก้อน” เกิดเมนูลูกผสมของ 2 แบรนด์ งานนี้มีลูกเล่นทางการตลาดที่น่าสนใจ แถมได้แลกกลุ่มลูกค้า ช่องทางการขาย
ยุคแห่งการโคแบรนด์ แลกเปลี่ยนจุดแข็งซึ่งกันและกัน
ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการร้านอาหาร เกิดดีลการจับมือกันข้ามสายพันธุ์อย่างแบรนด์ Bar B Q Plaza ร้านปิ้งย่างในเครือ “ฟู้ดแพชชั่น” กับ Pizza Hut ร้านพิซซ่าในเครือ “พีเอช แคปปิตอล” ของตระกูลมหากิจศิริ เกิดเป็นแคมเปญ “ฟินเว่อร์ ฮัทเจอก้อน”
จริงๆ แล้วดีลแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นในวงการเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการที่ร้านอาหารไปจับมือกับแบรนด์อื่นๆ นอกวงการอย่างขนม ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น การเงิน ดีลนี้จึงมีความน่าสนใจไม่น้อย
ต้องเกริ่นก่อนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Bar B Q Plaza มีการตลาดที่ค่อยข้างแหวกแนว และสร้างสีสันให้ตลาดอยู่ตลอด ทั้งโปรโมชั่น รวมถึง Real Time Marketing พร้อมกับมีคาแร็คเตอร์ “บาบีกอน” ขวัญใจแฟนๆ ได้อย่างดี
การเดินเกมของ Bar B Q Plaza ในช่วงหลังได้ทำการพาร์ทเนอร์กับแบรนด์อื่นๆ เริ่มจาก Anitech แบรนด์อุปกรณ์ไฟฟ้า-ไอที ในปี 2017 เป็นการขายไลเซนส์ “บาบีกอน” ในการออกเครื่องใช้ไฟฟ้าคอลเล็กชั่นพิเศษ เรียกว่าบุกธุรกิจ Non-food เป็นครั้งแรกเช่นกัน
จากนั้นในปี 2018 ได้จับมือกับ “มาชิตะ“ แบรนด์สาหร่ายจากค่าย “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” ออกสาหร่ายรสชาติ “เบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า” เป็นการที่พาคาแรคเตอร์บาบีกอนออกไปนอกร้าน และทำมาชิตะให้แมสมากขึ้น
ทำให้การโคแบรนด์กลายเป็นกลยุทธ์หลักที่ Bar B Q Plaza โฟกัสมาตลอดในช่วงหลายปี และในปีนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจาก Pizza Hut แล้วก็ยังมีแบรนด์อื่นที่กำลังสนใจอีก
บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เล่าว่า
“Bar B Q Plaza โฟกัสในกลยุทธ์การหาพาร์ทเนอร์ เชื่อว่าการทำ Marketing Collaboration ช่วยสร้างสีสันให้ตลาดในแง่มุมใหม่ๆ เกิดประโยชน์ทั้งผู้บริโภค และแบรนด์ที่ร่วมมือ ที่ผ่านมาได้ทำร่วมกับแบรนด์นอกธุรกิจ แต่ครั้งนี้เป็นการออกนอกกรอบด้วยการทำร่วมกับร้านอาหารด้วยกัน ซึ่งทาง Pizza Hut มีแนวคิดแบบเดียวกันจึงเกิดแคมเปญด้วยกัน”
ควง Pizza Hut เป็นคู่ค้า กลยุทธ์ Cross Target แลกกลุ่มลูกค้า
สำหรับแคมเปญฟินเว่อร์ ฮัทเจอก้อน เป็นการออกเมนูใหม่ของทั้ง 2 แบรนด์ เมื่อไปทานอาหารที่ร้าน Bar B Q Plaza ก็จะมีชุดหมูบาร์บีฮัท เมื่อไปทานอาหารที่ร้าน Pizza Hut ก็จะมีเมนูพิซซ่าฮัทบีก้อน เป็นการออกน้ำจิ้ม และซอสลูกผสมของ 2 แบรนด์
ความสำคัญของการร่วมมือกันครั้งนี้ก็คือได้แลกเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าซึ่งกันและกัน กลุ่มลุกค้าหลักของ Bar B Q Plaza จะเป็นกลุ่มครอบครัว และกลุ่มวัยรุ่น ส่วน Pizza Hut ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัว
ทั้ง 2 แบรนด์มีร้านที่อยู่ในโซนเดียวกันเยอะ มีจำนวนสาขาใกล้เคียงกัน Bar B Q Plaza มี 150 สาขา ส่วน Pizza Hut มี 140 สาขา
การโคแบรนด์ร่วมกันครั้งนี้หวังให้เกิดการทดลองอาหาร และแลกเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าซึ่งกันและกัน ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อีกทั้งยังเสริมแบรนด์ใหม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วย
ร้านอาหารถูก Disrupt ต้องหาโมเดลใหม่ๆ
บุณย์ญานุชเสริมอีกว่า การทำการตลาดยุคนี้จะทำแบบเดิมๆ ไม่ได้ เพราะวงการร้านอาหารมีการแข่งขันสูง และมีการ Disrupt จากหลายๆ อย่าง มีเทคโนโลยีเข้ามา ทั้งฟู้ดเดลิเวอรี่ หรือคนมาเดินห้างน้อยลง ต้องทำให้น่าสนใจอยู่ตลอด
“ตอนนี้ร้านอาหารถูก Disrupt จากหลายอย่าง เกิดฝุ่น PM 2.5 คนก็ไม่ออกมาเดินห้างฯ เทรนด์ความสะดวกสบายทำให้เดลิเวอรี่โตขึ้นมาก ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น เทรนด์สตรีทฟู้ดโตขึ้น อย่างมิชลินมาแจกดาวก็เป็นการ Disrupt ทำให้ลูกค้าต้องการไปกินร้านต่างๆ แบรนด์จึงต้องหาโมเดลใหม่ๆ ที่จะดึงดูดลูกค้าตลอด”
สำหรับแผนของ Bar B Q Plaza จะเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา เปิดน้อยลงโฟกัสการเติบโตในสาขาเดิม สิ้นปีนี้จะมี 150 สาขา ใช้งบลงทุนรวม 50 ล้านบาท รีโนทเวท 4-5 สาขา
สรุป
กลยุทธ์โคแบรนด์มีให้เห็นในทุกธุรกิจ เพรายุคนี้ไม่สามารถทำการตลาดได้คนเดียว ต้องอาศัยพาร์ทเนอร์ช่วยทำให้มีสีสันมากขึ้น ดีลนี้มีความน่าสนใจเพราะจับมือกันในธุรกิจเดียวกัน เปลี่ยนคู่แข่งที่คิดว่าจะแย่งลูกค้ากัน มาเป็นคู่ค้าช่วยเหลือกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา