เรียกว่าเป็นผู้นำเรื่องบ้านสุดหรูก็ว่าได้สำหรับ “แสนสิริ” เพราะหลังเริ่มต้นโครงการ “บ้านไข่มุก” คอนโดมิเนียมสุดหรูในปี 2531 มาถึงปี 2561 ก็เปิดตัวโครงการสุดหรูที่ 4 ในชื่อ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ 30” เพื่อตอกย้ำเรื่องนี้
ผู้นำเรื่องตลาดสุดหรูจับกลุ่ม Super Hi-End
ขึ้นชื่อว่า “แสนสิริ” การจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แต่ละแห่งย่อมไม่ได้เด่นแค่ Location ตามตัวแปรหลักของอุตสาหกรรมนี้ เพราะถึงจะมี Location ที่ดี แต่การก่อสร้าง รวมถึงดีไซน์ที่ไม่ได้ตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อ ก็เท่ากับว่าที่ดินแปลงนั้นแทบจะสูญเปล่า ผ่านการไม่มีใครมาสนใจ แม้พื้นที่มันจะดีแค่ไหน
นั่นทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายนี้ตัดสินใจเริ่มโครงการ Super Luxury ตัวแรกอย่าง “บ้านไข่มุก” คอนโดมิเนียมหรูสีเหลืองติดทะเลหัวหินที่ราคาเปิดของห้องขนาด 242 ตร.ม. ตอนปี 2531 อยู่ราว 7 ล้านบาท ปัจจุบันถ้าขายจริงก็พุ่งไปเกิน 80 ล้านบาทเรียก หรือเรียกว่าหากทำของหรู แล้วถูกพื้นที่ ก็ไม่แปลกที่จะมีคนซื้อ
จากความสำเร็จนั้นเอง “แสนสิริ” ก็เดินหน้าเปิดโครงการ Super Luxury แบบเนิบๆ เพราะต้องดู Location ที่ดีจริงๆ โดยโครงการถัดมาต้องรอถึงปี 2547 ใช้ชื่อว่า “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ส่วนโครงการที่ 3 ก็ทิ้งช่วงนานเช่นเดิม ผ่านชื่อ “98 Wireless” หรือคอนโดมิเนียมสุดหรูในปี 2560 ซึ่งทั้งคู่ต่างก็มีราคาขายต่อที่เพิ่มขึ้นมาก
ของหรูจะมาแบบไม่ต้องให้รอนานอีกต่อไป
แต่หลังจากนี้ของสุดหรูจะไม่ต้องให้รอนานอีกต่อไป เพราะล่าสุด “แสนสิริ” เตรียมเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury ในชื่อ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ 30” ที่มีเพียง 36 หลัง บนพื้นที่กว่า 37 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ถือเป็น Location ที่ใกล้กับโซนเมืองขนาดใหญ่ที่หาได้ยากในปัจจุบัน ราคา 65-240 ล้านบาท
อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บมจ.แสนสิริ เล่าให้ฟังว่า การพัฒนาอสังหาฯ โครงการนี้ขึ้นมาก็เพื่อเจาะกลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูง (HNWI) ซึ่งแม้จะมีไม่มาก แต่คนกลุ่มนี้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของตัวเอง และครอบครัว ที่สำคัญคนกลุ่มนี้เริ่มมีอายุเฉลี่ยน้อยลงเหลือ 30-50 ปีแล้วด้วย จากเดิมที่อยู่ราว 60 ปี
“ตอนนี้ Young Successor เกิดขึ้นเยอะมาก และเขาก็อยากได้อะไรดีๆ กลับมา ดังนั้นการทำตลาดก็ต้องแตกต่าง แต่เราก็เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่เป็น Siri Priority หรือลูกค้าเก่าของเราที่ซื้ออสังหาฯ ระดับ Hi-End ของเรา ผ่านการเชิญเข้ามาชมโครงการก่อน จากนั้นก็จะเป็นการนัดเข้ามาดูโครงการของบุคคลทั่วไป”
หมดแล้ว 12 หลัง เพราะมันสมราคา ไม่ได้แพง
สำหรับโครงการนี้หลังจากเปิดให้ลูกค้าที่ถูกเชิญเข้ามาเยี่ยมชมโครงการเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ก็จำหน่ายไปแล้ว 12 หลัง คิดเป็น 40% ของมูลค่าโครงการ โดยแบบบ้านที่ขายดีที่สุดคือ Bann Sansiri 9 ที่มี 6 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 941 ตร.ม. ราคา 240 ล้านบาท ส่วนแบบอื่นๆ อยู่ระหว่างทยอยจำหน่าย และน่าจะปิดได้ในช่วงปี 2562
ส่วนจุดเด่นของโครงการนี้นอกจากจะอยู่ใน Location ที่ใกล้เมืองสุดๆ ต่างจากโครงการระดับเดียวกันที่อยู่ย่านชานเมืองเป็นหลัก เรื่องการตกแต่งก็จะเป็นแบบ Regency พร้อมกับใส่ของที่หรูหราไว้มากมาย เช่นห้องเอนกประสงค์กึ่งกลางแจ้ง ที่ปรับระเบียงที่ไม่ค่อยได้ใช้สอยให้เป็นอีกห้องหนึ่งได้ รวมถึงมีห้องสำหรับผู้สูงอายุ
และเพดานที่สูงถึง 3.2 ม. และการวางบ้านเป็นแนวนอน ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยจำนวนมาก รวมถึงเครื่องครัวที่ติดมากับบ้านก็เป็นของนำเข้าทั้งหมด ส่วนเรื่องพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางก็มีทั้งสระว่ายน้ำระบบเกลือ, Golf Simmulator และ Tea Room ที่ใช้ประชุมงานได้ โดยมีค่าส่วนกลางอยู่ที่เดือนละ 16,000 บาท
สรุป
ทางผู้บริหารยืนยันมาว่า คนที่ซื้อโครงการนี้ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเงินสด และคิดว่าน่าจะไม่มีใครปล่อยเช่า หรือขายต่อแน่ๆ เพราะพื้นที่แบบนี้มันหาได้ยากมาก ยิ่ง Unit น้อย มันก็ยิ่ง Rare ดังนั้นใครที่อยากได้บ้านใหม่ และมีสินทรัพย์มากกว่า 80 ล้านบาทขึ้นไป ก็ต้องรีบเข้าไปจองหน่อย เพราะเชื่อว่าไม่นานก็คงหมดแล้ว
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา