ตอนนี้ใครๆ ก็มองตลาดจีน เพราะด้วยจำนวนคน และกำลังซื้อมหาศาล ทำให้ถ้าเข้าไปได้โอกาสเติบโตก็สูง แต่ใช่ว่าตลาดนี้จะเข้าไปได้ง่ายๆ ลองมาฟังข้อมูลจาก AVG Thailand ยักษ์ใหญ่ Digital Marketing จากจีนกัน
เหมือนจะง่าย แต่ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,000 ล้านคน จึงกลายเป็นโอกาสมหาศาลหากเข้าไปค้าขายกับคนในประเทศจีนได้ แต่ด้วยปัญหาเรื่องภาษา, วัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดที่ต่างกับไทย ทำให้แค่เหล่าซือที่มีความรู้เรื่องภาษาจีนก็ใช่ว่าจะเปิดบริษัทเพื่อขายสินค้าไปประเทศจีนแล้วประสบความสำเร็จได้
ซึ่งจุดนี้เองทำให้เกิดบริษัท Digital Marketing ที่รับงานช่วยองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เพราะตอนนี้ผู้บริโภคในประเทศจีนต่างใช้ช่องทางออนไลน์ในการหาข้อมูล และเลือกซื้อสินค้ากันเสียส่วนใหญ่ ถ้าแบรนด์สินค้า หรือบริการขององค์กรในไทยสามารถไปมีพื้นที่บนนั้นได้ โอกาสความสำเร็จก็มากขึ้น
ชฎากร ธนสุวรรณเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AVG Thailand เล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วการเข้าไปทำตลาดในประเทศจีนนั้นสามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบคือ การทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มประชากระโดยรวม, กลุ่มนักลงทุน และการส่งสินค้าจากไทยเข้าไปขายในประเทศจีนโดยเฉพาะ
จาก Display Ads สู่ Official Account
“การทำ Digital Marketing ในจีนค่อนข้างแตกต่างกับไทยอย่างชัดเจน เช่นการเลือกซื้อ Display Ads ที่ยากกว่า, การห้ามบริษัทนอกประเทศเปิด Official Account ในแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงด้วยประเทศจีนใหญ่มาก ใช่ว่าการใช้ Influencer เพียงไม่กี่คน ก็ช่วยสื่อสารข้อมูลของสินค้า หรือบริการไปได้อย่างทั่วถึง”
โดยการทำตลาดเพื่อเจาะประชากรโดยรวมนั้น สามารแบ่งได้เป็นประชากรในประเทศ กับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบ FIT (Foreign Independent Tour) หรือคนเที่ยวเอง โดยกลุ่มแรก การทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์สินค้า และเน้นไปที่เมืองระดับรองๆ เช่นคุนหมิง, เฉิงตู และเทียนเจิ้น ไม่ใช่เน้นปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เพราะกลุ่มนี้เริ่มสนใจเมืองไทยมากกว่า
ส่วนนักท่องเที่ยว FIT การทำตลาดออนไลน์ตั้งแต่สร้างการรับรู้ (Awareness) ตัวสินค้า และบริการผ่าน Display Ads ตามด้วยสร้างความน่าสนใจ (Interest) ด้วย Official Account บน Social Network พร้อมการสร้างความนึกถึง (Consideration) ผ่าน Influencer และปิดการขาย (Conversion) เช่นส่งจุดจำหน่าย หรือโรงแรมให้
สำเร็จ-ไม่สำเร็จ วัดที่ Total Solution
ในฝั่งกลุ่มนักลงทุนนั้น ปัจจุบันมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนิคมอุตสาหกรรมเข้าไปบุกตลาดจีนจำนวนมาก เพื่อนำพวกเขาเข้ามาลงทุน ทั้งการซื้อคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า หรือแถบตัวเมืองพัทยา เพราะคนจีนมองว่าคุ้ม และตัวราคาไม่ได้สูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับในประเทศจีนเอง แต่กลุ่มนี้จำเป็นต้องจ้างพนักงานจริงๆ เพื่อตอบคำถาม
“คนจีนชื่นชอบการคุย ถ้าเอาบอท หรือใช้แค่ Display Ads ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และการที่กลุ่มแสนสิริลงทุนไปตั้งออฟฟิศที่จีนเอง ก็เพื่อเกิดการโต้ตอบกับนักลงทุนที่นั่นให้มากที่สุด ส่วนฝั่งผู้ค้าที่อยากส่งออกสินค้าไปประเทศจีน ปัจจุบันก็มีหลากหลายช่องทางเปิดรับ โดยเป็นการขายแบบ Cross-Boarder หรือไม่ต้องส่งสินค้าออกไปก่อน”
สำหรับตัว AVG Thailand เอง ปัจจุบันรองรับงานเหล่านี้ และใช้ความที่บริษัทที่ตั้งอยู่ในจีนมาราว 10 ปี จึงเป็นพาร์ทเนอร์กับ Weibo และ Wechat จึงช่วยให้บริษัทไทยเปิด Official Account เพื่อสื่อสารได้ รวมถึงมี Display Ads Network หลักแสนเว็บไซต์ในจีน พร้อม Influencer กว่า 1.3 ล้านคนในระบบ หรือเป็น Total Solution
สรุป
การทำตลาดในจีนนั้นเหมือนจะยาก แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้นถ้ามีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ดี ซึ่งปัจจุบันในตลาดก็มีประมาณ 3-4 เจ้า และในปี 2561 ก็จะมี Digital Marketing Agency สำหรับตลาดจีนมากกว่านี้อีก ดังนั้นตัวธุรกิจก็คงต้องเลือกให้ดีว่าจะใช้รายไหน เพื่อก้าวไปสู่ตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ AVG Thailand เป็นบริษัทลูกของกลุ่ม YDM Thailand ที่เป็นการร่วมทุนระหว่าง Yello Digital Marketing ของเกาหลีใต้ กับ Adyim ของประเทศไทย โดยตัวกลุ่ม Yello นั้นถือ AVG ในประเทศจีนไว้ด้วย ปัจจุบัน AVG Thailand มีลูกค้าทั้งหมด 3 เจ้าเพราะเพิ่งก่อตั้งเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ปีหน้าตั้งเป้ามีลูกค้า 30 ราย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา