Asus ฝั่งมือถือ ยอมถอยกลับมาสู่ตลาดกลางล่าง หลังทำรุ่น Hi-End แล้วไม่ปังดังหวัง

ปี 2557 แบรนด์ไอทีอย่าง Asus ประสบความสำเร็จในตลาด Smartphone ของไทย เพราะรุ่น Zenfone ขายได้ดีมาก ผ่านจุดเด่นเรื่องสเปกสูง-ราคาถูก และปีนี้ Asus ก็จะกลับมาทวง Top 5 ด้วยกลยุทธ์นี้อีกครั้ง

ไม่อายที่จะบอกว่าไม่สำเร็จ

หลังปี 2557 ยอดขายถล่มทลายใน Smartphone ตระกูล Zenfone ของ Asus ทำให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ไอทีรายนี้มั่นใจในสินค้าตัวเองสุดๆ โดยในปีต่อมาก็ส่งรุ่นที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ยังทำราคาได้ถูกกว่าคู่แข่งอยู่ ทำให้แบรนด์ยังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนจาก Feature Phone มาซื้อ Smartphone เครื่องแรก

แต่ความมั่นใจดังกล่าวก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป หลัง Asus มองว่าตัวเองควรจะขยับไปที่รุ่น Hi-End มากขึ้นทั้งในแง่ราคา และประสิทธิภาพ ทำให้ตระกูล Zenfone 3 และ 4 ที่เปิดตัวในปี 2559 กับ 2560 ตามลำดับ ต่างไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากผู้บริโภคยังมองภาพ Asus แบบเดิมคือต้องราคาถูก และถ้าราคาสูงก็ไปซื้อแบรนด์ที่คุ้นชินแทน

ชาลส์ ลิ่ว ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัท เอซุส มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า เมื่อไม่ประสบความสำเร็จดังเป้าหมายที่วางไว้ จึงไม่แปลกที่บริษัทแม่จะรับเรื่องจากตลาดต่างๆ รวมถึงไทย เพื่อปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์การตลาด ซึ่งสุดท้ายมันก็ออกมาที่การกลับสู่จุดเริ่มต้นคือ “ราคาถูก-สเปกสูง”

ชาลส์ ลิ่ว ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัท เอซุส มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด

เปิดปีด้วยรุ่นแบตอึด 6,990 บาท

สำหรับการกลับมาทำตลาดหลังไม่ประสบความสำเร็จในรุ่นที่ 4 ทาง Asus เลือกที่จะกลับมาในตลาดไทยด้วยรุ่น Zenfone Max Plus ที่มีจุดเด่นเรื่องแบตเตอรี่ใหญ่ 4,130 mAh โทรออกต่อเนื่องได้นาน 26 ชม. หน้าจอแสดงผล 5.7 นิ้ว กล้องหลังคู่ 16 ล้านพิกเซล เปิดราคาที่ 6,990 บาท ถูกกว่าคู่แข่งที่มีสเปกใกล้เคียงกัน 20%

โดยก่อนวางขายจริงมีการเปิด Pre-Order ในวันที่ 16-22 ม.ค. ภายในเว็บไซต์ shopee.co.th และลดราคาเหลือ 5,890 บาท และแถมไอเท็มจากเกม ROV ไปพร้อมกับการซื้อ แต่กำหนดแค่ 5,000 คนแรกเท่านั้น และเพื่อรองรับการเติบโต ยังอยู่ระหว่างเจรจากับร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น-อีเลฟเว่น” เพื่อขยายเป็นจุดรับส่งเครื่องซ่อม

“ปีนี้เรากลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เราถนัดแล้ว นั่นคือการทำตลาดกลุ่มกลาง-ล่าง โดยปีนี้จะใช้งบการตลาดไตรมาสละ 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 30 ล้านบาท) ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 5% คิดเป็นจำนวน 1.5 ล้านเครื่อง ผ่านการทำตลาดทั้งหมด 8 รุ่น ราคาระหว่าง 4,000-9,000 บาท ทำให้บริษัทกลับมามีส่วนแบ่งในตลาดนี้ 5% จากปีก่อนมี 3%”

ตลาดกลาง-ล่าง ก็ยังแข่งหนัก

ทั้งนี้ตลาด Smartphone ระดับกลางล่างยังแข่งขันอย่างดุเดือด ผ่านการครอบครองของ OPPO และ VIVO จากประเทศจีน ทำให้ Asus จะมาแย่งตลาดนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะ 2 แบรนด์ข้างต้นต่างเตรียมโปรโมชั่นไว้รับน้องแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคือตลาด Smartphone ตอนนี้ไม่เหมือนในอดีต เพราะผู้บริโภคมีกันทุกคนแล้ว

“การแข่งขันในตอนนี้คือ จะจูงใจผู้บริโภคอย่างไรให้พวกเขาซื้อ Smartphone เครื่องใหม่เป็นแบรนด์ของเรา เพราะคนกลุ่มที่จะซื้อเครื่องกลาง-ล่าง ส่วนใหญ่มี Smartphone เครื่องเดิมอยู่แล้ว แต่อาจเสีย หรือไม่ก็อยากได้เครื่องประสิทธิภาพดีกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้เราต้องสื่อสารไปถึงผู้บริโภคให้ได้ ว่าทำไมต้องซื้อของเรา”

ในปี 2560 ทาง Asus จำหน่าย Smartphone ไปทั้งหมด 12 รุ่น คิดเป็นทั้งหมด 8 แสนเครื่อง ถือว่าลดลงเรื่อยๆ หากนับจากความสำเร็จใน Zenfone รุ่นแรก และเป็นอันดับที่ 7-8 ของตลาด แต่จากการกลับมาครั้งนี้ ทางบริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาดขึ้นเป็นเบอร์ 5 ให้ได้

สรุป

การกลับมาของ Asus ครั้งนี้ต้องคอยดูกันให้ดีว่าจะปัง หรือแป้ก เพราะ Asus เองคงได้รับบทเรียนจากการวางกลยุทธ์ราคา และโปรดักต์ที่ผิดพลาดมาแล้ว แต่เชื่อว่า OPPO และ VIVO รวมถึง Samsung ก็คงเตรียมโปรโมชั่นต่างๆ ไว้รับน้อง เนื่องจากไม่มีใครอยากถูกแย่งยอดขายไปแน่ๆ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา