หลังจากเปิดให้บริการมาเป็นเวลา 5 ปี และยึดตำแหน่งแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยาของทั้งคนในประเทศ และชาวต่างชาติมาได้อย่างต่อเนื่อง “เสี่ยเจริญ – เจริญ สิริวัฒนภักดี” ก็เตรียมสั่งลุยโปรเจค “เอเชียทีค” ไปในหลายจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อขยายให้ครบ 6 แห่งทั่วประเทศได้เร็วที่สุด
เมื่อต่างชาติรู้จัก โอกาสทางธุรกิจก็เริ่มมา
ในระหว่างที่เปิดให้บริการ “เอเชียทีค” ในประเทศไทย ทางบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด ผู้บริหารโครงการนี้ได้ออกไปโร้ดโชว์ตามต่างประเทศในงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับชาวต่างชาติว่าหากมาประเทศไทย ก็มีแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำแบบนี้ด้วย จนปัจจุบันสัดส่วนการใช้บริการของเอเชียทีคมาจากชาวต่างชาติถึง 60% และคนไทยเพียง 40% ของผู้ใช้บริการทั้งหมด 12 ล้านคน/ปี โดยประเทศที่เข้ามามากที่สุด คือไต้หวัน, จีน, เกาหลี, ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ดังนั้นการขยายไปในต่างจังหวัดจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ
สำหรับการขยายไปในต่างจังหวัดจะเริ่มต้นที่เชียงใหม่ บริเวณตลาดอนุสาร เนื่อที่กว่า 70 ไร่ และภายในตัวเมืองพัทยาเนื้อที่ 8 ไร่ ซึ่งทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างออกแบบ หากแล้วเสร็จจะเริ่มก่อสร้างได้ทันที ส่วนในพื้นที่อื่นๆ เช่นตัวเมืองหัวหิน, สมุย และจังหวัดภูเก็ต ยังอยู่ระหว่างจัดหาพื้นที่ ที่สำคัญการขยายไปในต่างจังหวัดนั้นจะไปในรูปแบบสถานที่ท่องเที่ยวครบวงจร เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศ เช่นดิสนีย์แลนด์ ผ่านการมีโรงแรม, ลานบริการ, สถานที่ช้อปปิ้ง, ร้านอาหาร และแลนด์มาร์คเด่นๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น
ริมแม่น้ำเจ้าพระยายังต้องพัฒนาต่อ
ใช่ว่าจะมุ่งไปที่ต่างจังหวัดอย่างเดียว แต่เอเชียทีคแห่งแรกบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังเป็นสถานที่สร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2558 แต่การลงทุนเพื่อสร้างสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มยังจำเป็น มานพ คำสว่าง ผู้จัดการทั่วไป โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด บอกว่า แผนการพัฒนาเฟส 2 ของเอเชียทีคริมแม่น้ำเจ้าพระยาจะเสร็จสิ้นภายในปี 2563 โดยใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อมีโรงแรม 800 ห้อง, ห้องจัดเลี้ยง 10,000 ตร.ม. และห้องสัมมนา 3,000 ตร.ม.
นอกจากนี้ยังต้องสร้างท่าเรือเพิ่มอีก 2 ท่า จากเดิมมีเพียง 1 ท่า เพราะเพียงท่าเดียวไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน และอนาคตได้ แต่เมื่อเพิ่มท่าเรือ การเพิ่มตัวเรือส่งนักท่องเที่ยวก็จำเป็นเช่นดกัน เพราะปัจจุบันมีเรืออยู่ 6 ลำ ทั้งรูปแบบเสียเงิน และไม่เสียเงิน แต่เมื่อเพิ่มท่า ตัวเรือจะเพิ่มเป็นเท่าตัว และสามารถทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการประทับใจมากขึ้น ผ่านการไม่ต้องรอเรือเพื่อมาส่งยังที่หมายเป็นเวลานาน และการมาเอเชียทีคนั้น การเดินทางโดยเรือเป็นช่องทางที่ถูกใช้งานมากที่สุด
ย้ำขึ้นค่าเช่าน้อย แต่ใช้อีเวนท์สร้างรายได้แทน
จุดเด่นอีกเรื่องที่ดึงผู้ค้าให้อยู่ภายในเอเชียทีคได้คือการขึ้นค่าเช่าเพียง 10 – 15% ในแต่ละปี ทำให้มีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 บาท/ตร.ม. ถือเป็นการช่วยเหลือผู้ค้า เพราะถ้าปรับขึ้นเยอะ ผู้เช่าเก่าที่อยู่มานานก็จะมีปัญหา และโอกาสที่ผู้เช่าใหม่จะเข้ามาสร้างสีสันเพิ่มเติมก็มีน้อยลง แต่บริษัทก็มีแผนหารายได้จากช่องทางอื่นๆ โดยเฉพาะการดึงอีเวนท์ต่างๆ เข้ามาจัด โดยปัจจุบันมีอีเวนท์ประจำ 4 งาน คืองานปีใหม่, สงกรานต์, ลอยกระทง และงานฟูลมูน แต่จากนี้จะมีงานคอนเสิร์ต และนิทรรศการต่างๆ เพิ่มเติม
“ถ้าเทียบกับห้างใหญ่ เรตค่าเช่าเราถูกกว่าพวกเข้า 30 – 50% มันถือเป็นแต้มต่อที่ทำให้เราดึงร้านต่างๆ ทั้งแฟชั่น และร้านอาหารที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเข้ามาเปิดร้านได้ตลอดเวลา และกลยุทธ์นี้จะถูกปรับใช้กับเอเชียทีคในที่อื่นๆ ด้วย นอกจากนี้เรายังเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้ามาเปิดร้านค้าเพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับพวกเขา แต่อาจต้องเพิ่มบริเวณโกดัง 7 – 8 เพื่อรองรับสถานที่เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ยังเตรียมจับมือกับไอค่อนสยาม เพื่อพัฒนาย่านท่องเที่ยวบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปด้วยกัน
สรุป
ถ้าใครอยู่ระแวกนั้นมานานจะรู้ว่าย่านนั้นผีค่อนข้างดุพอสมควร เพราะมีทั้งโรงพยาบาลร้าง, โรงงานผลิตปากกา และสถานที่ดับเพลิงเก่าแก่ ซึ่งใครไปทำธุรกิจที่นั่นก็เจ๊งมาโดยตลอด แต่ด้วยพลังการลงทุน และแผนการทำตลาดที่สามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากได้ ทำให้หลังจากนี้ชื่อ “เอเชียทีค” จะกลายเป็นที่จดจำ และไม่ว่าจะอยู่ที่จังหวัดใด ใครๆ ก็อยากไปถึงให้ได้
อ้างอิง : รูปบางส่วนจากหน้าเฟสบุ๊ก Asiatique.Thailand
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา