กลยุทธ์ ASEO พลิกโฉม SEO สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในยุค AI

กลยุทธ์ ASEO พลิกโฉมวงการ SEO 

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นับตั้งแต่ Google เปิดตัว AI Overview และ AI Mode พร้อมกับการขยายตัวของ Large Language Models อย่าง ChatGPT, Gemini และ Perplexity AI อย่างรวดเร็ว หลายธุรกิจที่เคยเติบโตได้ดีผ่านการทำ SEO แบบเดิมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มพบกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือการที่ Organic Traffic และอันดับเว็บไซต์เริ่มผันผวนอย่างรุนแรง

เพราะในทุกวันนี้ กลุ่มเป้าหมายไม่ได้แค่เสิร์ช Google อย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังหันไปถาม ChatGPT สำหรับคำถามที่ซับซ้อน, Gemini สำหรับข้อมูลเชิงลึก, หรือ Perplexity AI สำหรับการค้นหาที่ต้องการแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจนมากขึ้น และถึงแม้เมื่อพวกเขาเสิร์ช Google ก็มักจะได้คำตอบจาก AI Overview ในทันที โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์เลย ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วิธีการทำ SEO แบบเดิมจะไม่ได้ผลดีเท่าเดิมอีกต่อไป

แต่ด้วยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ที่มีประสบการณ์มากว่า 300 โปรเจคในแทบทุกอุตสาหกรรม อย่าง ANGA ได้แนะนำเราถึงกลยุทธ์ ASEO (AI & Search Engine Optimization) ซึ่งเป็น Framework การทำ SEO รูปแบบใหม่ที่ถูกพัฒนามาเพื่อให้รองรับการค้นหาในอนาคต โดยไม่เพียงแค่โฟกัสการติดอันดับเว็บไซต์ แต่ยังมุ่งเน้นการถูกเลือกให้เป็นแหล่งอ้างอิงใน AI Search พร้อมกันไปด้วย

ทำไม SEO แบบเดิมถึงไม่พอ เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้งานคนใหม่

สิ่งที่นักการตลาดหลายคนยังมองข้ามไปคือ AI ไม่ได้เป็นแค่ฟีเจอร์ใหม่บนหน้า Search Results เท่านั้น แต่มันกลายเป็น “ผู้ใช้งานตัวจริง” ที่เข้ามาอ่านเว็บไซต์ของเราก่อนมนุษย์ด้วยซ้ำ ก่อนที่คนจะได้เห็นเนื้อหาของเรา AI ได้เข้ามาอ่าน วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และสรุปข้อมูลไปแล้ว

ซึ่งตอนนี้ AI ได้กลายเป็นเหมือนลูกค้าคนสำคัญ ที่มีอำนาจการตัดสินใจว่าจะแนะนำธุรกิจของคุณให้คนอื่นหรือไม่ ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานคนนี้ เราก็จะพลาดโอกาสที่จะเข้าถึงผู้คนหลายล้านคนที่ใช้ AI ในการค้นหาข้อมูล

จากการติดอันดับ สู่ “การถูกเลือกไปอ้างอิง”

AI Overview

เป้าหมายสูงสุดของการทำ SEO แบบเดิมๆ คือการผลักดันให้เว็บไซต์ติด 10 อันดับแรกบนหน้า Search Results (หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ Blue Link) เพื่อดึงดูด Traffic ให้ได้มากที่สุด แต่ว่าในยุค AI Search ตอนนี้ นิยามของความสำเร็จได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ การเป็นแหล่งข้อมูลที่ AI เชื่อถือ และเลือกไปอ้างอิงในคำตอบที่ให้กับผู้ใช้งาน ทำให้สิ่งนี้คือ KPI ใหม่ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการ SEO ที่บอกเลยว่ายาก และโหดยิ่งกว่าการครอบครองอันดับบน Blue Links แบบเดิมแน่นอน

“ถึงแม้เว็บไซต์ของคุณจะไม่ได้อยู่อันดับแรก แต่ถ้า AI เลือกข้อมูลของคุณไปแสดงใน AI Overview หรือได้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบใน ChatGPT นั่นคือการได้รับการรับรองคุณภาพจาก AI ที่มีค่ามากกว่าการติดอันดับแบบเดิม”

รัชวิทย์ หวังพัฒนธน
Rachavit Whangpatanathon
CEO และ Managing Director ที่ ANGA Bangkok

เมื่อ Leads คุณภาพถูกคัดกรองตั้งแต่หน้าแรก

ผลลัพธ์ที่ตามมาจากฟีเจอร์ AI Overview นั่นคือการที่ Zero-Click Searches จะเพิ่มมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ที่เสิร์ชจะได้คำตอบที่ต้องการในทันที โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ซึ่งอาจฟังดูน่ากังวล แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO กลับมองเห็นโอกาสที่แฝงอยู่ 

เพราะนี่เป็นการคัดกรองคุณภาพ Leads มาเบื้องต้นแล้ว เพราะคนที่ยังคง “ตัดสินใจคลิก” เข้ามายังเว็บไซต์แม้หลังจากได้รับคำตอบจาก AI แล้ว มักเป็นกลุ่มที่มี Search Intent สูง กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ต้องการข้อมูลเชิงลึกที่ AI ไม่สามารถสรุปได้หมด หรือกำลังพิจารณาตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการจริงๆ นั่นหมายความว่าทุก Traffic ที่จะเข้ามาในอนาคต จะมีคุณภาพสูงกว่าเดิม และมีโอกาสที่จะ Conversion เป็นลูกค้าจริงได้มากขึ้น

ทำความรู้จักกับ ASEO กลยุทธ์ใหม่เพื่อตอบรับ AI Search

ASEO หรือ AI & Search Engine Optimization คือกลยุทธ์การทำ SEO รูปแบบใหม่ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก ANGA เอเจนซี่รับทำ SEO ชั้นนำของไทย ซึ่งเป้าหมายของ ASEO ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ Blue Link เท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้กับเว็บไซต์ของคุณ เพื่อทำให้ AI เชื่อถือและเลือกนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงบน Generative AI ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Gemini, AI Overviews, AI Mode หรือ ChatGPT ก็ตาม

กลยุทธ์ ASEO ที่ ANGA พัฒนาขึ้นมา ความครอบคลุมตั้งแต่ การวางโครงสร้างเว็บไซต์ทาง Technical , การเลือกระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่เอื้อต่อ AI, การวางแผน Keyword และ Content ที่ตอบโจทย์หลักการ E-E-A-T และ YMYL อย่างลึกซึ้ง ไปจนถึงการสร้างความน่าเชื่อถือในสายตา AI ด้วย External Signals ที่นอกเหนือไปจาก Backlink แบบเดิมๆ 

วิธีทำ SEO แบบเดิม vs. ASEO แบบใหม่

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ASEO แตกต่างและตอบโจทย์ยุค AI Search มากกว่าการทำ SEO แบบทั่วไปอย่างไร เราได้สรุปความแตกต่างและเปรียบเทียบให้คุณได้เห็นชัดขึ้น ดังนี้

เปรียบเทียบ SEO แบบเดิม ASEO วิธีทำ SEO แบบใหม่
Objective ติดอันดับบน Blue Links เป็นแหล่งอ้างอิงของ AI
Content เน้นครอบคลุม Keyword เน้น E-E-A-T และประสบการณ์จริง
Keyword โฟกัส High Volume โฟกัสคำถามแบบ Conversational
Link Building เน้นปริมาณ Backlinks เน้น Brand Mentions และ Digital PR
Technique พื้นฐาน On-page Advanced Schema และ Topical Authority
KPI อันดับและ Traffic Visibility บน AI และ Conversion Rate

เจาะลึก 7 ปัจจัยของกลยุทธ์ ASEO Framework

ASEO Framework

ASEO Framework ที่ ANGA พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 7 ปัจจัยสำคัญที่ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไม่เพียงแค่ถูก AI ค้นเจอ แต่ต้องถูกเลือก และน่าเชื่อถือมากพอในสายตาของทั้งผู้ใช้งาน และ AI ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องทำงานร่วมกัน ตั้งแต่

  • Site Experience Quality ฐานรากที่แข็งแกร่งให้เว็บไซต์ด้วย Technical Issues และ SXO
  • Site Trustworthiness สร้างความน่าเชื่อถือผ่าน External Signals และ Link Building
  • Content Strategy วางแผนเนื้อหาด้วย SILO Structure, E-E-A-T Content และ Keyword Intent

การทำ ASEO ไม่เหมือนกับ SEO แบบเดิมที่มักเน้นที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เป็นกลยุทธ์แบบองค์รวมที่ต้องดูแลทุกมิติพร้อมกัน เพราะ AI มีการประมวลผลที่ซับซ้อนกว่าอัลกอริทึมเดิม ถ้าเว็บไซต์มีจุดอ่อนในส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจส่งผลให้ AI ประเมินความน่าเชื่อถือโดยรวมลดลง ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญกับทุกปัจจัย ต่อไปนี้ 

ปัจจัยที่ 1 : ทุก Technical Issues ต้องถูกแก้ไข

การมี Technical Issues บนเว็บไซต์เหมือนกับการเปิดร้านแต่ประตูไม่เปิด ไม่ว่าสินค้าจะดีแค่ไหน ถ้าลูกค้าเข้าไม่ได้ก็ขายไม่ได้อยู่ดี และจากการสำรวจเว็บไซต์ธุรกิจในประเทศไทยกว่า 300 เว็บไซต์ที่ ANGA ดูแลทำ SE0 ให้ติดอันดับ SEO พบว่าเกือบ 1 ใน 3 ของเว็บไซต์มีปัญหาทาง Technical ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Traffic อย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

  • Crawling & Indexing Ability ต้องทำให้มั่นใจว่า AI Bot จะเข้าถึงเนื้อหาของเราได้ก่อน ดังนั้นการแก้ไข Broken Pages, การตั้งค่า robots.txt ที่ถูกต้อง และการใช้ Internal Links เชื่อมโยงหน้าสำคัญระหว่างกัน จะช่วยให้ Bot ทำงานได้ง่ายขึ้น
  • Site Architecture ที่เข้าใจง่าย โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Flat Site Structure ที่ผู้ใช้เข้าถึงหน้าสำคัญได้ในไม่กี่คลิก พร้อมระบบ Navigation ที่ชัดเจน จะช่วยทั้งคนและ AI ในการทำความเข้าใจเว็บไซต์
  • Page Experience ที่ตอบสนองได้เร็ว Core Web Vitals อย่าง LCP, INP, และ CLS ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นการวัดประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้ใช้งานบนหน้าเว็บ

ปัจจัยที่ 2 : กลยุทธ์ SXO ย้ายจาก Traffic สู่ Conversion

SXO (Search Experience Optimization) คือการผสมผสานระหว่าง SEO กับ UX เข้าด้วยกัน ทำให้เว็บไซต์ไม่เพียงแค่ดึง Traffic เข้ามายังเว็บไซต์ได้ แต่ยังสามารถเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าได้อีกด้วย

พูดง่ายๆ คือการเปลี่ยนโฟกัสจาก “หาคนเข้าเว็บให้เยอะๆ” มาเป็น “ทำยังไงให้คนที่เข้ามาแล้วซื้อของเรา” เพราะตอนนี้ AI ได้ช่วยคัดกรองคนเข้าเว็บไซต์มาให้แล้ว ให้เหลือแต่คนที่สนใจจริงๆ การที่เรามี Traffic คุณภาพสูงแล้วแต่ปล่อยให้เขาเดินออกไปโดยไม่ได้อะไร ถือเป็นการเสียโอกาสทองอย่างมาก

  • เป้าหมายหลักของ SXO คือการสร้าง Quality Clicks และเพิ่ม Dwell Time เพราะ Google วัดความสำเร็จจากว่าผู้คนอยู่บนหน้าเว็บของเรานานแค่ไหน และทำสิ่งที่เราอยากให้เขาทำหรือไม่ เว็บไซต์ที่มี Average Time on Page สูงกว่า จะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าเว็บไซต์ที่คนเข้ามาแล้วออกไปเร็ว
  • การออกแบบ User Journey ที่ลื่นไหล ทุก Element บนหน้าเว็บต้องมีจุดประสงค์ชัดเจน Call-to-Action ที่โดดเด่นแต่ไม่รบกวน ฟอร์มที่ขอข้อมูลเท่าที่จำเป็น และการจัดวางเนื้อหาที่นำทางผู้ใช้ไปสู่การตัดสินใจอย่างเป็นธรรมชาติ
  • Mobile-First ที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่การทำให้เว็บแสดงผลบนมือถือได้ แต่ต้องคิดถึงพฤติกรรมการใช้งานที่แตกต่าง เช่น การใช้นิ้วแตะแทนการคลิกเมาส์ การเลื่อนหน้าจอแทนการใช้ Scroll Wheel
  • การวัดผลที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ดู Page Views แต่ต้องดู Engagement Metrics อย่าง Bounce Rate, Pages per Session, และ Conversion Rate ที่บอกได้จริงว่าเว็บไซต์ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากแค่ไหน

ปัจจัยที่ 3 : External Signals สำคัญเพราะ AI มองไกลกว่าแค่ในเว็บ

ต่อไปนี้สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากเว็บไซต์ของคุณ จะกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นจริง ที่ AI เชื่อถือมากที่สุด ซึ่งเจ้าตัว AI จะเข้าไปสอดส่องและรวบรวม Signals ต่างๆ จากทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบว่าแบรนด์ของคุณมีตัวตน ได้รับการยอมรับ และเป็นที่พูดถึงในโลกแห่งความเป็นจริงหรือไม่ 

  • Social Media Signals เป็นมากกว่ายอดผู้ติดตาม AI มองหาการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงแบรนด์ (Mentions), การแชร์คอนเทนต์, หรือบทสนทนาที่เกิดขึ้นจริง สิ่งเหล่านี้คือ “Social Proof” ที่ยืนยันว่าธุรกิจของคุณไม่ได้มีแค่เว็บไซต์ แต่มีคอมมูนิตี้และมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
  • Brand Reputation Management ที่จับต้องได้ เพราะ AI เรียนรู้ชื่อเสียงของแบรนด์คุณจากรีวิวบนแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google Business Profile, Pantip, หรือเว็บบอร์ด การตอบรีวิวอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะกับความคิดเห็นเชิงลบ ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและน่าเชื่อถือ
  • Google Business Profile คือหน้าร้าน โดยเฉพาะสำหรับ Local Business นี่คือปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง การอัปเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน, การเพิ่มรูปภาพและวิดีโอใหม่ๆ, การตอบคำถามจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เป็นการยืนยันกับ AI ว่าธุรกิจของคุณยังคงเปิดให้บริการและพร้อมดูแลลูกค้าอยู่จริง

ปัจจัยที่ 4 : คุณภาพของ Link Building เหนือกว่าปริมาณ

ยุคของการสร้าง Backlink จำนวนมหาศาลเพื่อดันอันดับได้จบลงแล้ว เพราะในปัจจุบัน AI Bot ของ Google ฉลาดมาก สามารถวิเคราะห์คุณภาพของ Link ได้ทั้ง “บริบท” และ “คุณภาพ” ทำให้ AI สามารถประเมินได้ว่า “Backlink” เหล่านั้นมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณจริงหรือไม่

  • คุณภาพและบริบทของลิงก์คือหัวใจ ลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือสื่อที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ โดยตรง จะมีน้ำหนักมากกว่าลิงก์จากเว็บไซต์ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะมันคือการยืนยันความเชี่ยวชาญ (Topical Authority) ของคุณในสายตา AI
  • Digital PR และ Brand Mentions คือเป้าหมายใหม่ แทนที่จะวิ่งไล่หาลิงก์ กลยุทธ์ใหม่คือการสร้างคอนเทนต์หรือบริการที่ดีจนสื่อและผู้คนอยาก “พูดถึง” เองโดยธรรมชาติ แม้บางครั้งจะเป็นเพียงการเอ่ยชื่อแบรนด์โดยไม่มีลิงก์ (Unlinked Brand Mentions) ก็ยังคงเป็นสัญญาณบวกที่ทรงพลังให้ AI รับรู้
  • สร้างโปรไฟล์ลิงก์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือจะมีลิงก์ที่หลากหลาย ทั้งจากบทความ, ข่าว, เว็บบอร์ด, หรือโซเชียลมีเดีย การมีลิงก์ที่มาจากแหล่งเดียวซ้ำๆ กัน อาจดูเหมือนการจงใจสร้างขึ้นและลดทอนความน่าเชื่อถือลงได้

ปัจจัยที่ 5 : จัดระเบียบเว็บไซต์ด้วย SILO-based Structure

การวางโครงสร้างเนื้อหาแบบ SILO ไม่ใช่แค่การสร้างหมวดหมู่บทความ แต่เป็นการจัดระเบียบองค์ความรู้ทั้งหมดบนเว็บไซต์อย่างเป็นระบบ คล้ายกับการจัดเรียงหนังสือในห้องสมุดตามหมวดหมู่อย่างชัดเจน เพื่อบอกให้ AI เข้าใจในทันทีว่า ในหัวข้อนี้ เราคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง และการเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันอย่างมีกลยุทธ์ จะช่วยสร้างสิ่งที่เรียกว่า “Topical Authority” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AI เลือกอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณ

  • สร้างความเชี่ยวชาญผ่าน Pillar และ Cluster Content เริ่มต้นจากหน้าหลัก (Pillar Page) ที่ครอบคลุมหัวข้อกว้างๆ เช่น “การทำจมูก” จากนั้นสร้างหน้าย่อย (Cluster Pages) ที่เจาะลึกในรายละเอียดปลีกย่อย เช่น “วิธีดูแลตัวเองหลังทำจมูก”, “รีวิวการทำจมูก”, “ประเภทของซิลิโคน”
  • เชื่อมโยงอย่างมีกลยุทธ์ด้วย Internal Links การเชื่อมโยงเนื้อหาภายในไม่ใช่แค่การแปะลิงก์ แต่ต้องทำอย่างมีเหตุผลและสอดคล้องกับเนื้อหา เพื่อนำทางทั้งผู้ใช้งานและ AI ให้เข้าใจความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละส่วน และส่งต่อความน่าเชื่อถือระหว่างหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์
  • เป้าหมายสูงสุดคือ Topical Authority เมื่อคุณสร้าง SILO ที่แข็งแกร่ง AI จะไม่ได้มองว่าคุณมีแค่บทความที่ดี 1 บทความ แต่มองว่าคุณคือ แหล่งข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด ในเรื่องนั้นๆ ทำให้มีโอกาสถูกนำไปอ้างอิงใน AI Overview สำหรับคำค้นหาที่หลากหลายมากขึ้น

ปัจจัยที่ 6 : High Quality Content ที่พิสูจน์และจับต้องได้

เพราะ AI สามารถผลิตบทความทั่วไปได้ในไม่กี่วินาที สิ่งที่จะทำให้เนื้อหาของคุณโดดเด่นและได้รับความไว้วางใจคือ E-E-A-T ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับคอนเทนต์ที่ AI สร้าง เพราะ AI ไม่มีทางมี “ประสบการณ์จริง” ได้ ดังนั้น การใส่ความเป็นมนุษย์และความเชี่ยวชาญที่พิสูจน์ได้ลงไปในเนื้อหา คือความได้เปรียบที่ AI ก็สู้คุณไม่ได้

  • Experience (ประสบการณ์) แสดงให้เห็น ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แทนที่จะเขียนว่า “ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ” ให้เล่าว่า “จากประสบการณ์ 10 ปีในวงการ เราพบว่า…” ใช้รูปภาพหรือวิดีโอจริงจากโปรเจกต์ของคุณ บอกเล่ากรณีศึกษา หรือแบ่งปันบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจริงๆ
  • Expertise (ความเชี่ยวชาญ) แสดงความเหนือกว่าด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ให้มุมมองที่แตกต่าง หรือย่อยเรื่องที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย การอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและให้เครดิตอย่างเหมาะสม ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความเชี่ยวชาญเช่นกัน
  • Authoritativeness (การเป็นที่ยอมรับ) สร้างโปรไฟล์ผู้เขียน (Author Bio) ที่แสดงถึงคุณวุฒิและประสบการณ์จริง ได้รับรางวัล หรือถูกอ้างอิงจากสื่อที่น่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานที่บอกว่าคุณเป็นผู้มีอำนาจและได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมนั้นๆ
  • Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) สร้างความไว้วางใจด้วยความโปร่งใส ระบุข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน มีนโยบายความเป็นส่วนตัว และทำให้เว็บไซต์ปลอดภัย (HTTPS) ทุกข้อมูลที่นำเสนอต้องตรวจสอบความถูกต้องได้เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ

ปัจจัยที่ 7 : Keyword Research & Intent แบบใหม่

การทำ Keyword Research แบบเดิมที่เน้นแต่ตัวเลข Search Volume เยอะๆ ก็ยังทำได้ แต่ต้องให้ครอบคลุมถึงความต้องการของคนในยุค AI ด้วย เพราะตอนนี้ผู้คนต่างเสิร์ชค้นหา Keyword ด้วยภาษาพูดที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เราก็ต้องเปลี่ยนจากการหาว่าคน “ค้นหาอะไร” ไปสู่การทำความเข้าใจว่า พวกเขาต้องการอะไรจริงๆ หรือที่เรียกว่า Search Intent การเข้าใจเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำค้นหา คือกุญแจสำคัญในการสร้าง SEO Content ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและ AI 

  • มองข้าม Keyword ทั่วไป ไปสู่คำถามเชิงสนทนา Keyword ที่มีปริมาณ Search Volume สูงมักเป็นเป้าหมายแรกของ AI Overview โอกาสที่แท้จริงจึงอยู่ในกลุ่มคำค้นหาแบบ Long-tail หรือคำถามที่เฉพาะเจาะจง แสดงให้เห็นว่าผู้ค้นหากำลังต้องการคำตอบเชิงลึก ซึ่งเป็นจุดที่พวกเขามีแนวโน้มจะคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ
  • ออกแบบเนื้อหาในรูปแบบคำถาม-คำตอบ จัดโครงสร้างบทความโดยใช้หัวข้อเป็นคำถาม (ใคร, อะไร, ที่ไหน, เมื่อไหร่, ทำไม, อย่างไร) และมีส่วนของ FAQ ที่ชัดเจน เพราะนี่คือรูปแบบที่ AI สามารถดึงไปใช้สร้างคำตอบใน AI Overview ได้ง่ายที่สุด และอย่าลืมติด Schema Markup ให้ถูกต้องด้วย

สรุป การทำ SEO แบบใหม่ ให้ตอบโจทย์ AI ด้วย ASEO 

สิ่งที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ คือการมาของ AI Search มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงแบบทั่วๆ ไป แต่เป็นการที่ Search Engine กำลัง “ยกระดับมาตรฐานความน่าเชื่อถือ” ครั้งใหญ่ เพราะตอนนี้ใครๆ ก็สามารถสร้างเนื้อหาที่ดูดีได้ในพริบตาเดียว ทำให้ AI ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า Google จะเชื่อใครได้บ้าง?

ส่งผลให้วิธีทำ SEO ที่เคยได้ผลในอดีต ซึ่งเน้นการสร้างเนื้อหาปริมาณมาก หรือการปรับแต่งทางเทคนิคเพียงผิวเผินกำลังจะจบลง เพราะมันเป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบได้ง่าย ในทางกลับกัน สิ่งที่ AI ลอกเลียนแบบไม่ได้คือ ประสบการณ์จริง, ชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน และความใส่ใจในรายละเอียดที่สะท้อนผ่านเว็บไซต์ที่สมบูรณ์แบบ

ดังนั้น การทำ SEO ในวันนี้ จะไม่ใช่แค่การไล่ตามอัลกอริทึม แต่เป็นการหันกลับมาถามตัวเองด้วยคำถามพื้นฐานที่สุดว่า “เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเราคือ ของจริง?” คำตอบของคำถามนี้ไม่ได้อยู่ในเทคนิค SEO ที่ซับซ้อน แต่อยู่ในการสร้างธุรกิจที่ดีอย่างแท้จริง และนำเสนอคุณค่านั้นออกมาผ่านทุกมิติของโลกออนไลน์ ซึ่งนี่คือแก่นแท้ของ ASEO ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุค AI

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
The cars we drive say a lot about us. Keep calm and drive on.