Jungle Ventures รายงานว่ามูลค่ารวมของสตาร์ทอัพเทคโนโลยีในอาเซียนปี 2020 อยู่ที่ 3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11.4 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าภายในปี 2025 ไปอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 33.5 ล้านล้านบาท)
อนาคตสตาร์ทอัพในอาเซียนสดใส
ทาง Jungle Ventures คำนวนมูลค่าดังกล่าวจากสตาร์ทอัพจำนวน 31 บริษัทที่มีมูลค่าสูงกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.4 พันล้านบาท) โดยตัวเลขที่แท้จริงอาจจะสูงกว่านี้มาก
Amit Anand พาร์ทเนอร์ของ Jungle Ventures อธิบายว่า ถ้าหากอัตราการเติบโตในภูมิภาคยังคงที่เหมือน 3-5 ปีที่ผ่านมา มูลค่ารวมของสตาร์ทอัพทั้งหมดคงเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 33.5 ล้านล้านบาท) ก่อนปี 2025 แน่นอน
โอกาสเติบโตในอาเซียน
ในภูมิภาคอาเซียน มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตถึง 400 ล้านคน และ 10% ในจำนวนนั้นพึ่งจะเข้าถึงโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในปี 2020 แสดงถึงตลาดที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่
รายงานจาก Google และ Temasek Holdings and Bain & Company ระบุว่า อุตสาหกรรมออนไลน์ในสิงคโปร์ มาเลย์เซีย อินโดนีเซีย ฟิลิฟฟินส์ และ ไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในพื้นที่ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมที่ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10 ล้านล้านบาท) ในปี 2025
อีกทั้ง นักลงทุนที่ต้องการ “การเติบโตอย่างก้าวกระโดด” มักจะชอบลงทุนในสตาร์ทอัพของอาเซียน ซึ่งให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดั้งเดิมต่างๆ
โดยสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียน มีข้อได้เปรียบจากการเป็นผู้ตามตลาด (last mover advantage) อีกด้วย สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นในภายหลังจะสามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาดของบริษัทที่เกิดก่อนเสมอ ในกรณีนี้หมายถึงความล้มเหลวของสตาร์ทอัพในสหรัฐ จีน และอินเดียจะช่วยให้บริษัทใหม่ๆ พัฒนาเร็วขึ้น
กลยุทธ์ในอนาคต
สตาร์ทอัพบางรายในภูมิภาคที่เติบโตมากๆ อย่างน้อยในระดับยูนิคอร์น เช่น Grab และ GoTo Group ที่เกิดจากการควบกิจการของ Gojek และ Tokopedia มักจะผลักบริษัทให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นผ่านการ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐ หรือในบางกรณี ทางบริษัทจะจดทั้งในตลาดต่างประเทศและในประเทศ
- Grab เตรียม IPO เข้าตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกาภายในปี 2021 นี้ คาดระดมทุนได้มากถึง 60,000 ล้านบาท
- Gojek เจรจาขั้นสุดท้ายเรื่องควบรวมกิจการกับ Tokopedia แล้ว คาดมูลค่าบริษัทช่วง IPO อาจสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท
สำหรับสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าตำ่กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนมากจะขายบริษัทให้รายอื่น ไม่ก็ควบรวมกิจการให้ใหญ่ขึ้น
Amit มองว่าภูมิภาคอาเซียนสามารถรองรับการ IPO ของสตาร์ทอัพได้มากกว่านี้แน่นอน เพราะนักลงทุนมองหาโอกาสในการเติบโตจากทั้งอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และบริษัทใหม่ๆ เสมอ
สรุป
ด้วยการเติบโตที่ก้าวกระโดดของภูมภาคอาเซียน และการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ สตาร์ทอัพเทคโนโลยีในภูมิภาคยังมีโอกาสพัฒนาและเติบโตอีกมาก น่าจับตามองว่าอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ที่มา – CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา